ส่วนกรณีที่ภาครัฐและเอกชนได้ปรับลดเป้าผลผลิตมวลรวมในประเทศ(GDP)ของไทยเหลือ 4.5-5% จากเดิมที่ 5.3% หลังจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวลง และเศรษฐกิจกลุ่มคู่ค้าฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ไม่ได้เป็นผลกระทบที่สร้างความกังวลให้กับเครือสหพัฒน์เพิ่มมากขึ้น เพราะแนวโน้มสถานการณ์เริ่มแย่ตั้งแต่ต้นปีแล้ว จึงคาดว่าเศรษฐกิจในประเทศจะเติบโตเพียง 2-3% เท่านั้น
“โครงการภาครัฐต้องเลือกว่าแบบไหนมีความเหมาะสมกับประเทศไทย การดำเนินการต่างๆต้องมีความโปร่งใส จะเห็นได้จากโครงการรับจำนำข้าว ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มรากหญ้า นอกจากนี้เรื่องเงินบาทที่ยังไม่มีเสถียรภาพยังเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับภาคส่งออกทำให้มีรายได้ปรับตัวลดลง และจะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมทั้งอีกไม่นานจะมีการปรับ ครม.อีกครั้ง อยากให้ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งตั้งใจมุ่งมั่นเพื่อประเทศให้มากกว่านี้"นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่มีพื้นฐานและความอุดมสมบูรณ์ที่ดี โดยในช่วงที่ประเทศอื่นๆประสบปัญหา แต่ในประเทศไทยก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ประเทศไทยเสียโอกาสเนื่องจากการพัฒนาเป็นไปอย่างล่าช้า แต่พื้นฐานในเรื่องของภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจยังดีกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาค
สำหรับการลงทุนของเครือสหพัฒน์ มีการลงทุนอย่างระมัดระวังไม่รีบร้อนจนเกินไป ในอนาคตจะมีการพัฒนาการขายให้มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น และมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนทำให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างสะดวก ในขณะเดียวกันจะมีการพัฒนาสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเองออกมามากขึ้น โดยทางสหพัฒน์จะเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ และสามารถจำหน่ายได้
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า การร่วมทุนธุรกิจ TV Shopping กับ ซูมิโกโมะ ปัจจุบันยังมีการเติบโตที่ไม่ดีนัก เนื่องจากคนไทยยังไม่นิยมการซื้อสินค้าในรูปแบบนี้ แต่อย่างไรก็ตามจะมีการเพิ่มรูปแบบการขายผ่าน Digital IT ภายใน 1-3 ปีข้างหน้าเพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น
ส่วนการลงทุนสร้างคอมมูนิตี้มอลล์เจพาร์ค ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ใกล้กับสวนอุตสาหกรรมศรีราชานั้น คาดว่าจะก่อสร้างเฟสแรกแล้วเสร็จในเดือน ต.ค.56 และคาดว่าจะสามารถเปิดตัวเต็มรูปแบบในปี 58 โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท