ทริสฯจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงิน 1,500 ลบ.ของ NOBLE ที่ "BBB-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 28, 2013 17:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาทของ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์(NOBLE) ที่ระดับ “BBB-"พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดเดิมที่ระดับ “BBB-" โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระหนี้เดิม ใช้พัฒนาโครงการ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์ของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบน ตลอดจนกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของสินค้าที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ อันดับเครดิตมีข้อจำกัดโดยพิจารณาถึงความเสี่ยงที่บริษัทต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในโครงการคอนโดมิเนียม “โนเบิล เพลินจิต" ซึ่งมีมูลค่าถึง 15,600 ล้านบาท อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ความกังวลในด้านภาวะการขาดแคลนแรงงานและต้นทุนค่าที่ดินและค่าก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทมีสถานะต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นเนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนของเงินกู้ที่มีหลักประกันต่อสินทรัพย์ในระดับสูง

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถเปิดขายโครงการและส่งมอบที่อยู่อาศัยได้ตามกำหนด ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วงการก่อสร้างโครงการ “โนเบิล เพลินจิต" อย่างไรก็ตาม ยังมีความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่าได้

NOBLE เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 ตระกูลธนากิจอำนวยและเครือญาติยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดย ณ เดือนพฤษภาคม 2556 มีสัดส่วนการถือหุ้นรวมกัน 12% วิธีการออกแบบที่อยู่อาศัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้โครงการของบริษัทมีความแตกต่างไปจากโครงการของผู้ประกอบการรายอื่น

บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาตั้งแต่ปี 2549 เนื่องจากแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยหันมานิยมการมีที่พักอยู่ในเมืองมากขึ้น ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2556 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัย 16 โครงการด้วยมูลค่าเหลือขายประมาณ 11,600 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบนับจากนี้ไปจนถึงปี 2560 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 13,300 ล้านบาท โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทประกอบด้วยคอนโดมิเนียมซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 83% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด บ้านเดี่ยว 8% ทาวน์เฮ้าส์ 6% และที่ดินเปล่า 3% ณ เดือนพฤษภาคม 2556

ยอดขายของบริษัทในปี 2555 ลดลงอย่างมากเหลือ 2,852 ล้านบาท จาก 7,516 ล้านบาทในปี 2554 ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมเพียงโครงการเดียวในปี 2555 คือ “โนเบิล รีวอลฟ์ อารีย์" และจากยอดขายที่ต่ำกว่าคาดการณ์ในโครงการ “โนเบิล เพลินจิต" อย่างไรก็ตาม ยอดขายในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 2,910 ล้านบาท จาก 683 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2555 เนื่องจากการเปิดโครงการใหม่ 1 โครงการคือ “โนเบิล รีวอลฟ์รัชดา"

รายได้รวมของบริษัทในปี 2555 อยู่ที่ 2,560 ล้านบาท ลดลง 12% จาก 2,910 ล้านบาทในปี 2554 เนื่องจากการโอนที่ล่าช้าในโครงการคอนโดมิเนียม “โนเบิล รีฟอร์ม" อย่างไรก็ตาม รายได้ของบริษัทในช่วง 3 เดือนแรกปี 2556 เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 1,305 ล้านบาท จาก 447 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการโอนยูนิตของโครงการ “โนเบิล รีฟอร์ม" ในไตรมาสนี้

อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงโดยอยู่ที่ระดับ 38%-39% ในช่วงปี 2554 ถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 22.54% จาก 20.44% ในปี 2555

ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2556 บริษัทมีเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 8,163 ล้านบาท จาก 7,806 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2555 โดยภาระหนี้ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในโครงการ “โนเบิล เพลินจิต" บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 65.62% ณ เดือนมีนาคม 2556 เพิ่มขึ้นจาก 61.86% ณ สิ้นปี 2554 อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่มีความกังวลเรื่องสภาพคล่องเนื่องจากบริษัทมีปริมาณเงินสดอยู่เป็นจำนวนมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ