สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB155A (อายุ 2.0 ปี) LB176A (อายุ 4.0 ปี) และ LB196A (อายุ 6.0 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 31,474 ล้านบาท 17,545 ล้านบาท และ 12,033 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13716A (อายุ 14 วัน) CB13725C (อายุ 28 วัน) และ CB13926B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 36,132 ล้านบาท 27,654 ล้านบาท และ 23,661 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท บางกอก มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ลิส จำกัด รุ่น BMUL163A (AA+) มูลค่าการซื้อขาย 302 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) รุ่น CPN171A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 300 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) รุ่น TOP13OA (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 269 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงตลอดทั้งเส้น โดยเฉพาะตราสารหนี้อายุระหว่าง 5 ปีถึง 15 ปี ที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ในช่วงประมาณ 10 ถึง 25 Basis Point ขณะที่ตราสารอายุน้อยกว่า 5 ปี ลดลงเล็กน้อย ประมาณ 1 ถึง 3 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) ภายหลังการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทั้งตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือน มิ.ย. ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ และยอดขายบ้านใหม่ที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน อย่างไรก็ตามตัวเลข GDP ในไตรมาสแรก และอัตราการเติบโตของการใช้จ่ายผู้บริโภค กลับถูกทบทวนโดยปรับลดลงจากระดับเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวอย่างจำกัด และอาจยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Fed) ยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเร็วๆนี้ ส่งผลให้ตลาดเริ่มคลายความกังวลในประเด็นนี้ และมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดตราสารหนี้อีกครั้ง นอกจากนี้แล้วสภาพคล่องที่ตึงตัวในตลาดเงินของจีนเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ภายหลังคำแถลงการณ์ของธนาคารกลางจีนที่พร้อมจะช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง หลังจากอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้นระหว่างธนาคารพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์หน้า ยังคงมีความผันผวนจากประเด็นภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุดที่ยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการใช้จ่ายในประเทศ การส่งออก และการผลิตภาคอุตสาหกรรม ท่ามกลางสัญญาณภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่อ่อนแอกว่าที่คาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน และประเทศในกลุ่มยูโรโซน
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ขายสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 2,104 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 4,751 ล้านบาท แต่กลับซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 2,646 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนรายย่อย มียอด ซื้อสุทธิ 784 ล้านบาท