ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ กบข.ได้รับผลตอบแทนที่ดีมาก แต่ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มได้รับผลจากแนวโน้มการชะลอมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ทำให้เกิดความผันผวน ดังนั้น กบข.จึงมีการปรับพอร์ตในระยะสั้น โดยเฉพาะระยะเวลาการถือตราสารหนี้ และเริ่มลงทุนทางเลือกมากขึ้น เช่น อสังหาริมทรัพย์ และในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมองว่าน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้ เนื่องจากความผันผวนต่ำกว่า
นางสาวโสภาวดี กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา กบข.มีการลงทุนในตราสารหนี้ค่อนข้างสูง เมื่อเกิดความผันผวนต่ออัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ จึงส่งผลกระทบต่อ กบข.ในแง่ของกำไรจากการลงทุน โดยปกติ กบข.ลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศสัดส่วน 60% และตราสารหนี้โลก 10% แม้ว่าสิ้นเดือนพ.ค.56 สัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศลดเหลือ 58% และตราสารหนี้โลกลดเหลือ 8% แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของ กบข.ที่เป็นกองทุนที่เน้นการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว การลงทุนในตราสารทุนยังมีความน่าสนใจ แต่ต้องเป็นการมองในระยะยาว เนื่องจากในระยะสั้นมีความเสี่ยงด้านราคามาก ซึ่งต้องดูเรื่องของการตอบสนองจากนักลงทุนว่ามีการขายออกจำนวนมากหรือไม่
ปัจจุบัน พอร์ตการลงทุนของ กบข.มีสัดส่วนการลงทุนหุ้นในประเทศ 10% และหุ้นในต่างประเทศ 12% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา กบข.มีการขายออกเพื่อทำกำไรในหุ้นไตรมาสแรก ซึ่งได้กำไรเข้ามาประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท
นางสาวโสภาวดี กล่าวว่า การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังยังมีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยจะต้องจับตาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในเรื่องของมาตรการ QE ซึ่งขณะนี้กบข.ได้ขออนุญาตไปยังกระทรวงการคลังเพื่อปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศจาก 25% เป็น 40% เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยจะลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาไม่แพง ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติในเร็วๆนี้ รวมถึงที่ผ่านมาได้มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโลกด้วย โดยเฉพาะในประเทศที่ความพัฒนาแล้ว อย่างออสเตรเลีย เพื่อไม่ให้พอร์ตมีความผันผวน
ทั้งนี้ สิ่งที่ กบข.กังวลมากที่สุดของความเสี่ยงระยะยาวคือ อัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากตั้งเป้าผลตอบแทนที่จะชนะอัตราเงินเฟ้อที่ 2.5% (ในระยะเวลา 10 ปี)
นางสาวโสภาวดี ยังเปิดเผยว่า กบข.ยังคงจัดกิจกรรมกรรมเพื่อสมาชิกอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด กบข.ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดโครงการ "ทัวร์รถไฟ สุขใจกับ กบข."เป็นโปรแกรมท่องเที่ยวโดยรถไฟราคาพิเศษให้กับสมาชิก กบข.ได้แก่ ทริปเพลินชมไพร ไปเมืองกาญจน์ 2 วัน 1 คืน ในวันที่ 13-14 ก.ค.56 ราคา 1,999 บาท/คน รับเพียง 112 ที่นั่ง และ ทริปรำลึกความหลัง สำราญ ณ หัวหิน 2 วัน 1 คืน ในวันที่ 12-13 ต.ค.56 ราคา 2,999 บาท รับเพียง 112 ที่นั่ง และทริป แอ่วเจียงใหม่ ให้หายหนาว 5 วัน 4 คืน ในวันที่ 21-25 ธ.ค.56 ราคา 6,999 บาท/คน รับเพียง 40 ที่นั่ง
นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ในการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวภายในประเทศให้มากขึ้น ซึ่งในครั้งนี้ รฟท.ได้นำ รถโบกี้ท่องเที่ยวพิเศษ มาให้บริการในทริปท่องเที่ยวทั้ง 3 ทริปของ กบข.