ตลท.เผย "แม็คกรุ๊ป" เข้าซื้อขายใน SET วันแรก 4 ก.ค.นี้ ใช้ชื่อย่อ MC

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 2, 2013 16:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ. แม็คกรุ๊ป (MC) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มบริการ หมวดพาณิชย์ ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2556 โดย MC ดำเนินธุรกิจค้าปลีกเครื่องแต่งกายและไลฟ์สไตล์ มุ่งเน้นการเป็นผู้บริหารตราสินค้า บริหารการขายและการตลาด ออกแบบ จัดหาผลิตภัณฑ์เพื่อขายโดยมีนโยบายว่าจ้างผู้รับผลิตภายนอกเป็นหลัก รวมถึงการบริหารคลังสินค้าและการกระจายสินค้า ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองที่สำคัญได้แก่ Mc McLady McPink Bison และ McMini และเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น ปัจจุบันมีช่องทางการจัดจำหน่ายทั่วประเทศรวม 530 แห่ง และในต่างประเทศรวม 7 แห่ง

MC มีทุนชำระแล้ว 400 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 15 บาท มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 - 28 มิถุนายน 2556 โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นางสาวสุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แม็คกรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ระดมทุนในครั้งนี้ไปลงทุนขยายธุรกิจ อันได้แก่ การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า ซึ่งปัจจุบันมีสาขา 537 สาขา และในปี 2559 จะเพิ่มเป็น 751 สาขา ลงทุนการวิจัยและพัฒนา ศูนย์ออกแบบ และการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต ลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ศูนย์การกระจายสินค้าใหม่ ชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคาร ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและขยายธุรกิจในอนาคต

MC มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายแรกหลัง IPO ได้แก่ นางสาวสุณี เสรีภาณุ ถือหุ้น 33.81% นายพิชัย กัญจนาภรณ์ ถือหุ้น 29.08% และนายวิรัช เสรีภาณุ ถือหุ้น 3.75% ทั้งนี้ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน การกำหนดราคาหุ้น IPO มาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 18.7 เท่า ซึ่งคำนวณมาจากกำไรสุทธิ ในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ไตรมาส 2 ปี 2555 ถึงไตรมาส 1 ปี 2556) ซึ่งเท่ากับ 640.9 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด 800 ล้านหุ้น (Fully diluted) จะได้กำไรสุทธิ 0.80 บาทต่อหุ้น

บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวมหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมาย และบริษัทกำหนดไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ