"จีนเป็นตลาดรองจากการขายในประเทศ เมื่อจีนชะลอตัว เราก็หาแหล่งใหม่เตรียมไว้ โดยเน้นในอาเซียน และหันมาขายในประเทศมากขึ้น โดยรวมแม้วอลุ่มจากจีนจะหายไปบ้าง แต่ยังไม่กระทบยอดขายของบริษัทมากนัก"นายอัฒฑวุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจีนจะรักษาอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไว้ได้ ไม่เหมือนเศรษฐกิจในสหรัฐ ทั้งนี้ บริษัทจะรักษาสัดส่วนการส่งออกไปจีนที่ 44-45% โดยมองว่าเป็นจุดสมดุลของตลาด ขณะที่ความต้องการในประเทศสูงขึ้นในครึ่งปีหลัง
สำหรับไตรมาส 2/56 ส่วนต่างราคา(สเปรด)ระหว่าง HDPE กับนาฟทาอยู่กว่า 500 เหรียญ/ตัน จากราคาขาย HDPE มาอยู่ที่ 1,460 เหรียญ/ตัน สูงขึ้นราว 10 เหรียญ/ตันจากไตรมาส 1/56 ซึ่งเป็นไปตามที่บริษัทประมาณการไว้ว่าครึ่งปีแรกราคาผลิตภัณฑ์จะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
นายอัฒฑวุฒิ คาดว่า รายได้และกำไรในไตรมาส 2/56 สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน ตามราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก HDPE ที่ปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 1,460 เหรียญ/ตัน จากงวดเดียวกันปีก่อนราคาอยู่ประมาณกว่า 1,300 เหรียญ/ตัน แต่ถ้าเทียบกับไตรมาส 1/56 น่าจะลดลง เพราะไตรมาส 2 เป็นช่วงโลว์ซีซั่น และมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานบางแห่ง
แต่คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์ในครึ่งปีหลังจะยังดีต่อเนื่องเหมือนในไตรมาส 2/56 ตามแนวโน้มดีมานด์สูงขึ้น และช่วงปลายปีนี้เป็นช่วงตลาดขาขึ้น ก็คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์จะดีต่อเนื่อง และเชื่อว่าราคาจะไม่ต่ำลงไปกว่านี้
นายอัฒฑวุฒิ กล่าวถึงความร่วมมือกับบริษัท ปิโตรนาส ของมาเลเซียว่า คาดว่าการสรุปผลการเจรจาจะล่าช้าออกไปเล็กน้อย โดยน่าจะร่วมลงนามกันได้ในไตรมาส 1-2/57 ขณะที่การเจรจากับเปอตามีน่าจากอินโดนีเซีย คาดว่าจะมีการร่วมลงนามในธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ กำลังการผลิต 1.2 ล้านตัน