(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าปรับลงตามภูมิภาค กังวลศก.จีนหลังตัวเลขออกมาไม่ดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 3, 2013 09:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิจพล ไพรไพสาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีแนวโน้มที่ดัชนีจะปรับตัวลงตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นมาติดต่อกัน 2 วัน ประกอบกับมีความกังวลเกี่ยวกับตัวเลข PMI ภาคการบริการของจีนที่ชะลอการขยายตัวลง ทำให้มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นตัว

นอกจากนี้ยังใกล้เข้าสู่ช่วงการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/56 ของบริษัทจดทะเบียนในประเทศ โดยคาดว่าผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2/56 หลายตัวจะออกมาต่ำกว่าไตรมาส 1/56 หรือออกมาเท่ากับที่คาดการณ์ไว้ ทำให้อาจจะมีแรงขายออกมา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ฉุดตลาดลง

พร้อมให้แนวต้าน 1,480 จุด แนวรับ 1,460 จุด

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์ควานนี้(2 ก.ค.)ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 14,932.41 จุด ลดลง 42.55 จุด(-0.28%) ดัชนีเอส
แอนด์พี 500 ปิดที่ 1,614.08 จุด ลดลง 0.88 จุด(-0.05%) และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 3,433.40 จุด ลดลง 1.09 จุด
(-0.03%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 51.25 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 10.05 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 90.09 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 24.33 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 0.73 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 12.59 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ ลดลง 1.29 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.53 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ ลดลง 8.60 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดวานนี้(2 ก.ค.)ที่ 1,463.98 จุด เพิ่มขึ้น 12.08 จุด(+0.83%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 626.25 ล้านบาท เมื่อ 2 ก.ค.56
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำวานนี้(2 ก.ค.)ที่ 99.60 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.61 ดอลลาร์
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดวานนี้(2 ก.ค.)ที่ 9.3 เหรียญฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 30.99/31.01 อ่อนค่าจากวานนี้ ตามทิศทางภูมิภาค
  • สมาคมนักวิเคราะห์เตรียมปรับเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์คาดสิ้นปีอยู่ที่ 1,550, "ณรงค์ชัย"ชี้ปีนี้ทุนเคลื่อนย้ายติดลบ จากเฟดยุติมาตรการคิวอี ส่งผลเงินทุนไหลออกทั้งตลาดตราสารหนี้-หุ้น คาดค่าเงินบาทเคลื่อนไหวมีเสถียรภาพที่ 30-31 บาทต่อดอลลาร์ ด้านตลาดตราสารหนี้ไม่น่าห่วง มั่นใจสถานการณ์นิ่ง เงินยังไหลเข้า ขณะสมาคมนักวิเคราะห์เตรียมหั่นเป้าใหม่ เชื่อปีนี้ไม่เห็น'นิวไฮ'
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. ที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 43 เดือน และเงินเฟ้อเฉลี่ย 6 เดือนแรกสูงขึ้นเพียง 2.7% สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะซึมตัวและคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้ อัตราเงินเฟ้อน่าจะลดลงต่ออยู่ที่ระดับ 2.2-2.3% เฉลี่ยทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 2.5%
  • น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ให้กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศที่มีพื้นที่ลงทุนโครงการบริหารจัดการน้ำเริ่มทำประชาพิจารณ์ทันที เพื่อให้การลงทุนระบบน้ำเดินหน้า
  • นายชัยสิทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ เปิดเผยผลศึกษาภาพเงินออม การสะสมทุน และการถือครองทรัพย์สินของครัวเรือนไทย ในช่วง 2 ทศวรรษ (2531-2552) ว่า ช่วง 20 ปีที่ผ่านมาคนไทยมีการออมดีขึ้น โดยปี 2531 ครัวเรือนที่ไม่มีเงินออมมี 48% ของครัวเรือนทั้งหมด แต่ลดเหลือ 25% เมื่อปี2552 และมีเงินออมเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10 เท่าจากปี 2531 ที่ครัวเรือนไทยมีเงินออมเฉลี่ยเดือนละ 507 บาท เพิ่มเป็น 5,145 บาทในปี 2552 ขยายตัว 12% ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้ ขณะที่รายจ่ายขยายตัวในอัตราไม่สูงเทียบเท่ารายได้
  • น.ส.โสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า ได้ปรับพอร์ตตราสารหนี้ให้เป็นระยะสั้นมากขึ้น ภายหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มส่งสัญญาณจะลดการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) เดือน ก.ย.นี้ และยกเลิกในปีหน้าที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดเงินและตลาดทุนและส่งผลให้ผลตอบแทนตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น กระทบต่อราคาพันธบัตรที่กบข.ถือสูงถึง 58% ของเงินลงทุนทั้งหมดที่มีอยู่ 4.8 แสนล้านบาท เมื่อมีการบันทึกราคาตามราคาตลาด (มาร์กทูมาร์เก็ต)
  • "แบงก์ชาติ" เผยสถาบันรับฝากเงินทั้ง "เอกชน-รัฐ" แข่งระดมเงินฝาก หวังรองรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ดันยอดเงินฝากรวมตั๋วบี/อี เดือนพ.ค. พุ่ง 11.9% ขณะที่สภาพคล่องแบงก์พาณิชย์ยังตึงตัว สะท้อนผ่านยอดสินเชื่อต่อเงินฝากรวมตั๋วบี/อี เฉลี่ยที่ 93.3% ส่วนยอดขายภาคธุรกิจไตรมาสแรก ทรุดจากพิษเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า ด้านอสังหาริมทรัพย์กำไรเริ่มลด

*หุ้นเด่นวันนี้

  • BAY (ทรีนีตี้)"ซื้อ"เป้า 43 บาท เมื่อวานนี้ (2 ก.ค.) BAY ได้แจ้งต่อ ตลท. ว่ามิตซูบิชิจะซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของธนาคารโดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer หรือ VTO) ในราคา 39 บาท และ GE จะขายหุ้นทั้งหมด 25.33% คาดว่าจะเริ่มทำ VTO ในช่วงต้นเดือน พ.ย.56 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุญาตหรือผ่อนผันจาก ธปท.และกระทรวงการคลัง ทั้งนี้มองว่าข่าวนี้ส่งผลดีทางด้านจิตวิทยาต่อราคาหุ้น โดยเมื่อเทียบกับราคา Tender Offer จะให้ Yield ประมาณ 5.4% พร้อมมองสัดส่วนที่มิตซูบิชิจะถือจะไม่เกิน 49% ตามพ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน 2551 แต่หากเกินจะขออนุญาตแบบมีระยะเวลา
  • KAMART(เกียรตินาคิน)"ซื้อ"เป้า 11.50 บาท คาดกำไรสุทธิใน 2Q56 ไว้โดดเด่นที่ 44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% YoY และ 7% QoQ จากยอดขายเครื่องสำอางเติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับจะรักษา Gross margin ได้ที่ 51% นอกจากนี้การที่ KAMART-W จะเริ่มใช้สิทธิใน ก.ค.นี้ โดยประเมินว่าบริษัทจะได้เงิน 120 ล้านบาทมารองรับการขยายธุรกิจ และคาดว่าสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจะทำให้บริษัทมีฐานะการเงินดีและเป็น Net Cash ในปีนี้ ชอบปัจจัยพื้นฐาน KAMART จากกลยุทธ์มัลติแบรนด์และแบ่งกลุ่มลูกค้าชัดเจนกับสินค้า
  • BECL (เกียรตินาคิน)"ซื้อเก็งกำไร"มองราคาหุ้นปรับตัวลงจากประเด็นการเลื่อนนำ CKP เข้าตลาดมากเกินไป ขณะที่ปัจจัยบวกเชิงพื้นฐานคงมีอยู่จากการที่ล่าสุดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.)มีมติเห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าผ่านทางแล้ว โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2556 นอกจากนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 น่าจะออกมาโดดเด่นต่อเนื่อง จากยอดใช้ทางด่วนใน พ.ค.2556 ที่ยังเติบโตได้ราว 2.6% YoY และจะเริ่มมีการรับรู้ส่วนแบ่งรายได้จาก TTW เข้ามาเต็มไตรมาสด้วย
  • PTTGC(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)“ซื้อเก็งกำไร"เป้า 81 บาท คาดหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี มีแนวโน้มเคลื่อนไหว Outperform ตลาดได้ในวันนี้ จากการไต่ระดับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ NYMEX ที่ขึ้นสูงกว่าแนวต้านสำคัญUS$100.00/barrel จากความกังวลต่อเหตุการณ์ตึงเครียดในอียิปต์ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการติดขัดในการขนส่งน้ำมันผ่านคลองสุเอซ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการลำเลียงน้ำมันจากตะวันออกกลาง โดย PTTGC จะได้ประโยชน์ถึง 2 ทาง จากการไต่ระดับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากราคาขายปิโตรเคมีจะปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันดิบ ขณะที่งบฯ 2Q56 จะเป็นปัจจัยบวกในระยะสั้น โดยคาดกำไรสุทธิ 2Q56 โต +722% yoy เป็น 7,000 ล้านบาท จาก 2Q55 ที่ 841 ล้านบาท และราคาหุ้น Valuation ที่ค่อนข้างต่ำ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ