ทั้งนี้ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากที่สุด โดยให้น้ำหนักที่วิกฤตยุโรป 50% การชะลอตัวเศรษฐกิจจีน 28% และปัญหาทางการคลังสหรัฐอเมริกา 22%
ส่วนปัจจัยด้านเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายของรัฐบาลยังอยู่ใน 3 อันดับแรกของปัจจัยเสี่ยงที่ผู้บริหารเห็นว่ามีผลต่อการขยายตัวของจีดีพี เช่นเดียวกับกับความผันผวนของค่าเงินบาท การลดลงของกำลังซื้อในประเทศ ที่เพิ่มขึ้นจากอันดับ 7 มาเป็นอันดับที่ 5 ขณะที่ค่าแรงลดลงจากอันดับ 5 ไปเป็นอันดับ 8
ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่ายังมีความผันผวนหลายปัจจัย ได้แก่ เศรษฐกิจจีน ยุโรป และ มาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ(QE)ของสหรัฐ การไหลของเงินจะลดลง ดังน้นบริษัทจดทะเบียนต้องปรับตัวให้มีการใช้เงินให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และต้องเข้าใจกลไกตลาด
นอกจากนี้ จากผลสำรวจผู้บริหาร แสดงความเป็นห่วงเสถียรทางการเมืองของประเทศ โดยส่วนที่กระทบต่อบริษัทจดทะเบียนเป็นความไม่ชัดเจนของนโยบายรัฐบาล ได้แก่ โครงการรับจำนำข้าว เรื่องหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นเหตุผลที่สังคมต้องการเห็นตัวเลขชัดเจนและถูกต้อง ขณะเดียวดันมองว่าเรื่องความโปร่งใสสำคัญกว่าตัวเลข ซึ่งหากชัดเจนตอบโจทย์ได้จะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
"จากที่ได้ไปโรดโชว์ต่างประเทศ นักลงทุนก็ได้แสดงความเป็นห่วงเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างประเทศยังมีความมั่นใจเข้าลงทุนในประเทศไทย แต่เป็นห่วงเรื่องกลไกรัฐบาลที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางตลาด หากปรับให้สอดคล้องก็จะทำให้ความเชื่อมั่นกลับมา เพราะไทยยังน่าสนใจเมื่อเทียบกับประเทศในแถบอาเซียน"นายสุรงค์ กล่าว
ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหม่นั้น นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย มองว่าในแง่ทีมเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้นทั้งแนวทางแก้ไขเรื่องโครงการจำนำข้าว และการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน