บริษัทคาดว่ารายได้ในไตรมาส 2/56 จะอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.4 พันล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1/56 ที่มีรายได้กว่า 1.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล แต่เชื่อว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 3/56 เพราะตามปกติจะเป็นช่วงที่ยอดขายและกำไรดีที่สุดของปี เนื่องจากลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่จะเปลี่ยนอุปกรณ์สินค้าไอทีและมีการสั่งซื้อจำนวนมาก
นายณรงค์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรักษากำไรสุทธิในปีนี้ไม่ให้ต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 220 ล้านบาท หรืออย่างน้อยต้องทำได้ใกล้เคียงกัน เนื่องจากในปีนี้มีการแข่งขันค่อนข้างสูง โดยทั้งปีจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นของการขายไม่ต่ำกว่า 14-15% จากไตรมาส 1/56 อยู่ที่ 13-14% ซึ่งเชื่อว่าจะดีขึ้นในครึ่งปีหลังในทิศทางเดียวกับยอดขาย
"บริษัทไม่มีสินค้าในสต็อกมากแค่ 1 เดือน เพราะเราดูแลใกล้ชิดพยายามไม่เก็บสต็อกเลย มั่นใจสินค้ามีระบบควบคุมไม่ให้ล้าสมัย จึงไม่ห่วงเรื่องมาร์จิ้นเพราะสินค้าซื้อตามออร์เดอร์ไม่กังวลเรื่องราคาตก แต่จะรักษาฐานอัตรากำไรขั้นต้นไม่ให้ต่ำกว่า 14% มากกว่า"นายณรงค์ กล่าว
นายณรงค์ มองว่า ภาพรวมตลาดครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะไตรมาส 3/56 เป็นช่วงการใช้จ่ายงบลงทุนของภาคเอกชนออก แม้ว่ากำลังซื้อน่าจะค่อนข้างทรงๆ เนื่องจากตลาดคอนซูมเมอร์จะถูกแย่งไปจากโครงการรถยนต์คันแรกบ้าง ซึ่งเป็นผลกระทบทางอ้อม แต่ตลาดองค์กรยังมีความต้องการสินค้าของบริษัทอยู่ และยังขายได้ดี
กลุ่มลูกค้าของบริษัทประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ลูกค้ารายใหม่ ที่แต่ละปีจะเพิ่มขึ้น 200 รายช่วยผลักดันรายได้เพิ่มขึ้น และลูกค้ารายใหญ่ เดิมขายอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีคู่ค้าที่ซื้อสินค้าจากบริษัทไปขายต่อ ซึ่งจะมีการทำธุรกิจร่วมกันมากขึ้นและมีกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น สำหรับสินค้าหลักเป็นผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ คอมพิวเตอร์ แบรนด์ชั้นนำเช่น IBM HP DELL ACER MICROSOFT และวัสดุสิ้นเปลือง เช่น เครื่องพิมพ์ขนาดเล็ก และ กล้องถ่ายรูป
ส่วนการขยายตลาดไปต่างประเทศ หรือในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) นายณรงค์กล่าวว่า เนื่องจากสินค้าของบริษัทเป็นสินค้าเทคโนโลยี ซึ่งจะพัฒนามากไม่จำเป็นต้องเตรียมแผนงานเป็นพิเศษ หากถึงเวลาเปิด AEC เราก็พร้อมไปได้ทันที