สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 4.0 ปี) LB155A (อายุ 2.0 ปี) และ LB145B (อายุ 1.0 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 18,720 ล้านบาท 12,927 ล้านบาท และ 5,772 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13801D (อายุ 28 วัน) CB13723A (อายุ 14 วัน) และ CB13O03B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 39,611 ล้านบาท 38,030 ล้านบาท และ 27,550 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT138A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 1,093 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) รุ่น QH143A (A-) มูลค่าการซื้อขาย 378 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท บางกอก มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ลิส จำกัด รุ่น BMUL163A (AA+) มูลค่าการซื้อขาย 302 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ค่อนข้างนิ่ง โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะสั้น อายุน้อยกว่า 3 ปี ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ตราสารอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น / ลดลงในช่วงประมาณ -4 ถึง +1 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) โดยนักลงทุนบางส่วนเริ่มชะลอการลงทุน ภายหลังจากที่อัตราผลตอบแทนผันผวนค่อนข้างมากในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนหน้า ทั้งนี้ บรรยากาศการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตของหลายๆประเทศที่ทยอยปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาในช่วงต้นสัปดาห์ ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หลังสภาพคล่องในตลาดเงินหดตัวอย่างมาก เป็นเหตุให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตลาดพันธบัตรมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในโปรตุเกสและอียิปต์ รวมถึงกระแสการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจเริ่มลดวงเงินของมาตรการ QE ได้ภายในช่วงสิ้นปี 2556 หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจเดือน มิ.ย. ของสหรัฐฯ อาทิ ดัชนี ISM ภาคการผลิต และตัวเลขการจ้างงานในภาคเอกชน ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติในช่วงกลางสัปดาห์ สำหรับทิศทางภาวะตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์หน้า ยังคงต้องติดตามการตอบสนองของตลาด หลังรายงานตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ พร้อมกับจับตาตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆ และบันทึกการประชุม Fed เมื่อวันที่ 18-19 มิ.ย. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังต้องติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. ในวันที่ 10 ก.ค. นี้อีกด้วย
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 4,092 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 3,255 ล้านบาท แต่กลับซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 7,348 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนรายย่อย มียอด ซื้อสุทธิ 211 ล้านบาท