ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 56 ที่เฉลี่ย 4.6% ขณะที่คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 56 จะเติบโตเฉลี่ย 20.0% ราคาทองคำสิ้นปี 56 จะปรับตัวลงมาอยู่ที่ 18,157 บาทต่อบาททองคำ และคาดว่านักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันในประเทศจะซื้อสุทธิในช่วงครึ่งปีหลังของปี 56 รวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์ฯ เปิดเผยว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า SET Index ในปีนี้น่าจะมีจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,626 จุด ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนที่อยู่ในระดับ 1,704 จุด และมีจุดต่ำสุดที่ 1,329 จุด จากเดิม 1,407 จุด ส่วนในปี 57 มองว่าดัชนี ณ สิ้นปีน่าจะปรับตัวขึ้นไปที่ 1,700 จุด
อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์ฯ บางรายมองจุดต่ำสุดของดัชนีในปีนี้ที่ 1,200 จุดในช่วงครึ่งปีหลัง คือ บล.ไอร่า ส่วนรายที่มองจุดสูงสุด 1,760 จุด คือ บล.คันทรี่กรุ๊ป
สำหรับปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นไทยนั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองปัญหาเศรษฐกิจจีนชะลอตัวเนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย การชะลอ/เลิก QE ของสหรัฐ และบางส่วนมองความเสี่ยงทางการเมืองไทย เช่น พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท การแก้ไขรธน.การคอร์รัปชั่นโครงการจำนำข้าว ปัญหาจากนโยบายประชานิม
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ฯ คาดว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิปีนี้ที่ 70,000 กว่าล้านบาท โดยครึ่งปีแรกเป็นเป็นการขายสุทธิไปมากแล้ว และเชื่อว่าครึ่งหลังน่าจะยุติการเทขาย และกลับมาซื้อสุทธิกว่า 5,000 ล้านบาท สถาบันในประเทศน่าจะซื้อสุทธิราวว 17,000 ล้านบาท แต่ปี 57 คาดว่าต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิกว่า 20,000 ล้านบาท และสถาบันในประเทศซื้อ 30,000 ล้านบาท โดยมองเป้าดัชนี SET ปี 57 ที่ 1,700 จุด
"เหตุผลที่มองดัชนีสิ้นปีกลับไปที่ 1,569 จุด จากปัจจุบัน 1400 กว่าจุด เพราะคาดต่างชาติจะกลับมาซื้อ 5000 กว่าล้านบาทเป็นเหตุผลหลัก และนักลงทุนสถาบันในประเทศสิ้นปีน่าจะมีแรงซื้อของกองทุนต่างๆ เช่น LTF ช่วงธ.ค.ซึ่งปกติแต่ละปีจะซื้อ 3-4 หมื่นล้านบาท เข้ามาช่วยดันดัชนี"นายสมบัติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ช่วงสั้นแนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนด้วยการเพิ่มการถือครองเงินสดและลงทุนในเงินฝาก ลดการลงทุนหุ้นในประเทศ เพราะเดือน ก.ค.ดัชนีผันผวนกรอบกว้างมาก โดยให้น้ำหนักการถือครองหุ้นไทย 32% ลดลงจากเดิมที่แนะ 40%, ถือหุ้นต่างประเทศเพิ่มเป็น 18% จาก 12% และถือเงินสด 21% จาก 15%
หุ้นที่แนะนำลงทุน AOT, INTUCH, KBANK, KTB, PTTEP เป็นต้น ส่วนหุ้นที่นักวิเคราะห์เห็นว่าราคาเต็มมูลค่า หรือเกินมูลค่าแล้ว ได้แก่ หุ้นในหมวดพลังงานรายหนึ่ง และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายหนึ่ง เป็นต้น
นายสมบัติ ให้ความเห็นส่วนตัวว่า โอกาสที่เศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นจะแย่กว่านี้มี เพราะในแง่เศรษฐกิจยังเห็นการอ่อนตัวของส่งออก แม้บาทอ่อนก็ช่วยไม่ทันเพราะกลไกกว่าจะทำงาน ขณะที่การบริโภคในประเทศชะลอเร็วกว่าคาด กำลังซื้อคนหดเร็ว การลงทุนภาครัฐและเอกชนมีทีท่าชะลอหรือยึดเวลา ตลาดหุ้นไทยนอกจากเรื่องปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้แล้ว มาตรการ QE ที่จะเริ่มลดลงตั้งแต่ก.ค.-ก.ย.อีก
"ช่วงนี้ไม่มีใครรอให้ถึงก.ย. ก็จะขายกันก่อน นักลงทุนจะเร่งปิดเกมทันที"นายสมบัติ กล่าว