นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTGC คาดว่า กำไรในไตรมาส 2/56 ดีกว่าปีก่อนในงวดเดียวกัน เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับที่ดี แม้คาดว่าจะเกิด Stock Loss เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในช่วงปิดงวดใกล้ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าราคาช่วงต้นงวดที่อยู่ในระดับ 105-108 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รวมทั้งค่าเงินบาทผันผวนอาจทำให้เกิดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
แต่ในไตรมาส 3/56 ผลประกอบการน่าจะกลับมาเติบโตได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นไตรมาสที่ดีไตรมาสหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังมีการชะลอตัวเศรษฐกิจของจีนเป็นตัวแปรที่ทุกคนกังวล แต่ก็มองว่าจีนต้องการปรับการเติบโตของเศรษฐกิจให้เป็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่เติบโตต่ำกว่าเป้า
ทั้งนี้ PTTGC ยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 5-10% และ EBITDA เติบโต 10% จากปีก่อน เพราะปัจจุบันราคาผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในระดับที่ดี เช่น เม็ดพลาสติก HDPE มีราคามากกว่า 1,400 เหรียญ/ตัน รวมทั้งความต้องการผลิตภัณฑ์ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน
"แนวโน้มภาพรวมไตรมาสที่ 3 น่าจะดี ไม่น่าจะมีตัวแปรอะไร ดูแล้วผลิตภัณฑ์ยังมีการบริโภคต่อเนื่อง ผลประกอบการของเราไม่น่าต่ำกว่าประมาณการที่เราตั้งไว้"นายอนนต์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังไม่มีแผนจะทบทวนโครงการลงทุน 5 ปี(56-60) เพราะในช่วงแรกของแผนไม่ได้ใช้งบลงทุนมาก โดยส่วนใหญ่เป็นงานปรับปรุงประสิทธิภาพ ขยายกำลังการผลิตแบบคอขวด เช่น ขยายคอขวดอะโรเมติกส์, PE เป็นต้น ดังนั้น ยังไม่มีการปรับวงเงินลงทุน ส่วนการขยายธุรกิจในต่างประเทศ คือ อินโดนีเซีย และจีน บริษัทก็เฝ้าดูอย่างระมัดระวัง แต่ก็พร้อมเข้าไปร่วมมือผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการในตลาดและแนวโน้มเติบโตดี
นายอนนต์ กล่าวว่าเพิ่มเติมว่า ภายในไตรมาส 3/56 บริษัทคาดว่าจะลงนามกรอบความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ Shinochem จากจีน ซึ่งจะมีเรื่องการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ ความร่วมมือด้านการตลาดและการลงทุนโรงงานผลิตภัณฑ์ ขณะเดียวกันความร่วมกับ Pertamena ในอินโดนีเซียที่จะร่วมมือในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ คาดว่าสามารถสรุปภายในเดือน ธ.ค.นี้ โดย Pertamena ยังคงถือหุ้นในสัดส่วน 51% ส่วนอีก 49% เป็นของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทได้มีการติดต่อหาพาร์ทเนอร์รายอื่นเข้ามาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งต้องมีการเจรจาเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น รวมทั้งมีการศึกษาสถานที่จัดตั้งโรงงานและมูลค่าเงินลงทุน
สำหรับความร่วมมือกับปิโตรนาส ประเทศมาเลเซีย คาดว่าในปี 57 จะมีการตัดสินใจรอบสุดท้ายว่าจะเดินหน้าโครงการความร่วมมือต่อไปหรือไม่
"ถึงแม้ช่วงนี้เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัว แต่ทาง PTTGC ก็ได้เลือกเป้าหมายพื้นที่ที่จะขยายกิจการออกสู่ต่างประทศ คือ อินโดนีเซียและจีน และเราก็ยังเฝ้าดูสถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย บริษัทค่อนข้างระมัดระวังและเลือกพื้นที่และทำในสิ่งที่บริษัทถนัด บริษัทจะเน้นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์เป้าหมายที่จะป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็คโทรนิค และก่อสร้าง ในขณะเดียวกันบริษัทก็ยังได้สนใจและเข้าไปศึกษาในแหล่ง shale gas ที่จะสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบให้กับบริษัท ตอนนี้ก็ได้ร่วมกับพันธมิตรจากสหรัฐฯและจีน"นายอนนต์ กล่าว
ขณะเดียวกันในวันนี้ PTTGC เปิดดำเนินการงานหอเผาระบบปิดระดับพื้นดิน (Enclosed Ground Falre : EGF) และระบบดูดกลับไฮโรคาร์บอน(Vapor Recovery Unit : VRU) เพื่อยกระดับการสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยและความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีสะอาด นำร่องให้จังหวัดระยองเป็นเมืองอุตสาหกรรมนิเวศน์ต้นแบบของไทย และเป็นการดำเนินการเพื่อมุ่งดูแลสิ่งแวดล้อมในเชิงรุกด้วยความสมัครใจ โดยมีการลงทุนเบื้องต้น 1.2 พันล้านบาท
ด้านนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการ PTTGC กล่าวว่า นอกจาก PTTGC จะขยายธุรกิจในอินโดนีเซีย จีน และมาเลเซีย ก็ยังได้มองโอกาสเข้าลงทุนในโครงการทวายของพม่า ซึ่งอยู่ใกล้ไทย แต่คงต้องใช้ระยะเวลาในการเข้าไปลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่จะผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก
ส่วนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนามเป็นการลงทุนของ บมจ.ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และหากปตท.ต้องการให้ PTTGC เข้าร่วมก็จะมีการศึกษากันต่อไป
ทั้งนี้ นายประเสริฐ ระบุว่าต้องการเห็น PTTGC อยู่เป็น TOP 500 ของบริษัทขนาดใหญ่ที่จัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune ขณะที่ PTT อยู่ใน TOP 200 ของนิตยสาร FORBS และ PTTGC อยู่ TOP 600 ซึ่งพิจารณาจากยอดขาย กำไร และสินทรัพย์