"ทั้งปี 56 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท เป็นรายได้จากงานก่อสร้างกว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่บริษัทดำเนินการมากว่า 41 ปี โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 8-10%" นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ CK กล่าว
นอกจากนี้ จากการที่ บมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CKP) จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 18 ก.ค.นี้ บริษัทจะรับรู้กำไรพิเศษจากการปรับมูลค่าการลงทุนใน CKP
นายปลิว เปิดเผยว่า บริษัทมีงานในมือ (Backlog) รอรับรู้รายได้ใน ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 115,234 ล้านบาท ซึ่งสามารถรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องให้กับบริษัทอย่างมั่นคงได้ 5-6 ปี โดยแบ่งเป็นงานภาครัฐบาล 32.47% และงานภาคเอกชน 67.53%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการที่รอลงนามสัญญาอีก 3 โครงการ คือ โครงการจัดซื้อและติดตั้งระบบไฟฟ้าสายสีม่วง ให้แก่ บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ(BMCL) มูลค่า 20,775 ล้านบาท โครงการโรงไฟฟ้าบางปะอิน เฟส 2 มูลค่า 5,000 ล้านบาท และโครงการวางท่อประปาของกปภ. จังหวัดลำปาง มูลค่า 658 ล้านบาท ทั้ง 3 โครงการจะทำให้มูลค่า Backlog ของ CK เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 26,000 ล้านบาท รวมมุลค่า Backlog กว่า 140,000 ล้านบาท สูงที่สุดในประวัติการณ์ของบริษัท
ทั้งนี้ ยังมีงานอื่นๆที่อยู่ระหว่างประมูล เช่น งานวางท่อก๊าซของ บมจ.ปตท. มูลค่า 9,000 ล้านบาท งานรถไฟฟ้าสายสีเขียว และสายสีชมพู งานรถไฟรางคู่ของ รฟท. และที่สำคัญ คืองานสัมปทานที่บริษัทดำเนินการเอง ได้แก่ โครงการก่อสร้างเขื่อนน้ำบาก สปป.ลาว มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท
นายปลิว ยืนยันว่า ปัจจุบันบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมาก และไม่มึความจำเป็นต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด บริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 1.47 เท่า และมีส่วนของผู้ถือหุ้นกว่า 16,000 ล้านบาท บริษัทมีศักยภาพและความพร้อมที่จะรับงานก่อสร้างและลงทุนได้อีกมาก ทั้งจากงานภาครัฐและงานสัมปทานที่บริษัทลงทุนดำเนินการเอง ทำให้บริษัทสามารถมีรายได้เติบโตโดยไม่ต้องพึ่งงานภาครัฐเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากบริษัทก่อสร้างทั่วไป
และขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโครงการสัมปทาน และงานก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ โครงการไฟฟ้าพลังงานทดแทน โครงการจัดหาและผลิตน้ำประปาในประเทศพม่า และลาว ซึ่งบริษัทมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญมากและคาดว่าจะประสบความสำเร็จสร้งรายได้และผลตอบแทนที่ดีให้บริษัท