ทั้งนี้ คาดว่าอัตรากำไรสุทธิ(Net Profit Margin) จะเพิ่มเป็น 15% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากปีนี้อยู่ที่ 10-12%
นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AAV และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า ตลาดอินโดจีนถือเป็นตลาดหลักอันดับที่ 2 ของแอร์เอเชียต่อจากจีน โดยมีเที่ยวบินสู่อินโดจีน 70 เที่ยวบินต่อสัปดาห์จากเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมดเกือบ 250 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
ขณะเดียวกันจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางในกลุ่มอินโดจีน คือ พม่า ลาว กัมพูชา และ เวียดนาม มีอัตราการเติบโตมากที่สุด โดยในช่วงครึ่งปีแรก(ม.ค.-มิ.ย.56) เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงมองว่าตลาดอินโดจีนยังมีความสามารถที่จะเติบโตได้อีก และวางแผนจะเปิดเส้นทางบินในกลุ่มประเทศอินโดจีนเพิ่มเติมอีกภายในปีนี้ ได้แก่ เมืองเนปิดอว์ ประเทศพม่า รวมทั้งจะเปิดเส้นทางบินใหม่ไปจีนด้วย ล่าสุดได้เปิดเที่ยวบินกรุงเทพ-เสียมราฐ เริ่มบิน 1 ต.ค.นี้ คาดว่าจะมี อัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (cabin factor) สูงถึง 80% ในช่วง 3 เดือนแรก
ปัจจุบัน ไทยแอร์เอเชียมีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพไปย่างกุ้ง มันฑะเลย์ ฮานอย โฮจิมินห์ และ พนมเปญ
"เส้นทางอินโดจีน ทุกเส้นทางโต 25-35% และมี cabin factor (อัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร) สูง 80% ทุกเที่ยวบินมีกำไรดีมาก ...นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ 80-90% จะไปเข้าไทยก่อนแล้วค่อยไปเที่ยวประเทศแถบอินโดจีน" นายทัศพล กล่าว
ดังนั้น คาดว่า รายได้จากเส้นทางอินโดจีนจะปรับสัดส่วนเป็น 30% ภายใน 2 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมีสัดส่วน 25% โดยจากการเพิ่มเที่ยวบินไม่ต่ำกว่า 10 เที่ยวบิน
นายทัศพล กล่าวว่า รายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 56 ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีอัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสารที่ระดับ 84% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 81% เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนเป็นตลาดหลักของแอร์เอเชีย และถึงแม้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงไป แต่ยังมั่นใจว่านักท่องเที่ยวจีนยังเติบโตต่อเนื่อง
โดยในไตรมาส 2/56 มี cabin factor เฉลี่ย 82% ดีกว่าไตรมาส 2/55 ที่มี cabin factor ที่ 79%
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่า รายได้ในปี 56 จะเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 2 หมื่นล้านบาท โตจากปีก่อนที่มี 1.6 หมื่นล้านบาท และจำนวนผู้โดยสารปีนี้จะเติบโตขึ้นมาเป็น 10 ล้านคน จากปีก่อน 8.3 ล้านคน โดยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยเสี่ยง 2 ด้าน คือ ราคาน้ำมัน ซึ่งคาดว่าจะทรงตัวและมีแนวโน้มปรับตัวลง ซึ่งขณะนี้ราคาน้ำมันเจ็ท อยู่ที่ประมาณ 120 เหรียญ/บาร์เรล และบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันไว้ระดับ 30% ของปริมาณการใช้ทั้งหมด ส่วนอีกปัจจัยคือเรื่องการเมือง