"แม้ว่าแนวโน้มยอดขายในไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 3 ในปีนี้จะยังไม่ดีนัก แต่จะมีลักษณะการเติบโตแบบขั้นบันได ส่งผลให้ในไตรมาส 4 จะเติบโตสูงสุด ทั้งนี้เชื่อว่าจะส่งผลให้ EBITDA ทั้งปีจะสามารถเป็นบวกได้" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SMT กล่าว
โดยปัจจุบันกำลังการผลิตของบริษัทอยู่ที่ 50% ซึ่งสามารถผลิต IC ได้จำนวน 120 ล้านชิ้น/เดือน และ MMA จำนวน 10 ล้านชิ้น/เดือน
นายพลศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเป้ายอดขายในปีนี้ที่ 9,000 ล้านบาท โดยจะเน้นการขายในกลุ่มสินค้า IC เพิ่มมากขึ้น จากการรับออเดอร์ของลูกค้าเดิม 6 ราย และได้รับออเดอร์จากลูกค้าใหม่จำนวน 3 ราย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการผลิตสินค้าตัวอย่างให้แก่ลูกค้าก่อนที่จะรับออเดอร์ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันให้เป้าหมายยอดขายในปีหน้า(ปี 57) เติบโตเพิ่มขึ้น 10% จากปีนี้
ทั้งนี้บริษัทมีการปรับกลยุทธ์ใหม่โดยเน้นจับกลุ่มลูกค้า IC เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีกำไรสูง เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นของสินค้า IC จะอยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งสูงกว่าสินค้าประเภท MMA อยู่ที่ไม่เกิน 5% ซึ่งสัดส่วนรายได้ในกลุ่ม IC ยังอยู่เพียง 40% ซึ่งต่ำกว่า MMA ที่อยู่ 60% ของรายได้รวม
ดังนั้นเชื่อว่าการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้สัดส่วนรายได้ในช่วงต้นปีหน้าสลับกันเป็นกลุ่ม IC อยู่ที่ 60% และ MMA สัดส่วนที่40% ซึ่งจะช่วยผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นในปีหน้ากลับสู่ภาวะปกติเฉลี่ยที่ 4% ซึ่งสะท้อนถึงการกลับมาสู่ภาวะปกติของธุรกิจจากช่วงเกิดอุทกภัยปี 54
นายพลศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทร่วมทุนกับ บมจ.ซินโฟเนีย เทคโนโลยี จากญี่ปุ่น เปิดตัวบริษัท SS RFID เพื่อผลิต RFID Tags หรือฉลากอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีในการระบุชื่อหรือลักษณะผลิตภัณฑ์ด้วยคลื่นวิทยุ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดโลกทั้งสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก ขนส่ง โรงพยาบาล ซึ่งมีปริมาณการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอัตราไม่ต่ำกว่า 10% ทุกปี
ทั้งนี้ บริษัท SS RFID ก่อตั้งด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดยซินโฟเนีย เทคโนโลยี จากประเทศญี่ปุ่น มีสัดส่วนในการถือหุ้นของบริษัท SS RFID จำนวน 25% โดยบริษัทมีเป้าหมายจะนำบริษัท SS RFID เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป
บริษัทฯคาดว่าตลาด RFID Tags จะเติบโตอย่างสูงทั้งในตลาดโลกและในประเทศอาเซียน (AEC) โดยเฉพาะการใช้งานในสนามบินนานาชาติ เพื่อเป็นฉลากอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะสำหรับการติดตามกระเป๋าเดินทาง รวมถึงเป็นฉลากอัจฉริยะสำหรับสินค้าในร้านเสื้อผ้าและห้างสรรพสินค้าชั้นนำเพื่อระบุชื่อและลักษณะของผลิตภัณฑ์สินค้า และเป็นบัตรผ่านทางของการทางพิเศษ บัตรโดยสารรถไฟฟ้า บัตรผ่านเข้าอาคารคอนโดมีเนียม อาคารสำนักงานต่างๆ
"คาดว่ารายได้จากบริษัท SS RFID จะมีเข้ามาในปี 57 เริ่มต้น 100 ล้านบาท และตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 30% เนื่องจากมีความต้องการสินค้าอย่างมากในตลาดโลก และบริษัทฯคาดว่าจะนำบริษัท SS RFID เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET ภายใน 3 ปีข้างหน้าด้วย"นายพลศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัท SS RFID มีกำลังการผลิต RFID 9 ล้านชิ้น/เดือน และทั้งปีจะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 100 ล้านชิ้น และคาดว่าภายใน 5 ปี บริษัทฯจะมีสายการผลิต RFID Tags มากกว่า 5 สายการผลิต โดยในหนึ่งสายการผลิตจะมีกำลังการผลิตประมาณ 100 ล้านชิ้น/ปี เพื่อรองรับความต้องการของตลาดโลกที่มีอยู่ประมาณ 1,000 ล้านชิ้น โดยบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งจากความต้องการนี้ 10% ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทจะมีกำลังการผลิต RFID 500 ล้านชิ้น/ปี