บลจ.ทิสโก้ คงเป้าดัชนี SET สิ้นปีที่ 1,650 จุด มอง H2/56 ส่งออกหนุนศก.โตได้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 17, 2013 14:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า บลจ.ทิสโก้ยังคงเป้าหมายดัชนีตลาหุ้นไทยในปีนี้อยู่ที่ 1,650 จุด เนื่องจากแนวโน้มของแรงขายต่างชาติเริ่มมีความเบาบางลง และตลาดหุ้นไทยในปีนี้ดัชนีได้ผ่านจุดที่ต่ำที่สุดไปแล้วอยู่ที่ 1,350 จุด

ประกอบกับ ในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงหนุนจากการผลประกอบการขอบริษัทจดทะเบียนในประเทศในไตรมาส 2/56 และเริ่มเข้าสู่ช่วงการจ่ายเงินปันผลในช่วงกลางปี นอกจากนี้ในเดือนสิงหาคมนี้จะมีการผลักดันโครงการภาครัฐมากขึ้นและใช่วงปลายปีจะมีกองทุน LTF และ RMF เข้ามาช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยอีกแรง

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 13.5 เท่า ณ ดัชนี SET ที่ 1,400 จุด เป็นระดับที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากยังมีโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันดอกเบี้ยถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ

ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย บลจ.ทิสโก้ มองว่ามีความเสี่ยงในการปรับลดลงมากกว่าการปรับขึ้น ซึ่งต้องมีการพิจารณาถึงตัวเลขเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศที่ขณะนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลง ทำให้มีการปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP จาก 5% ลดลงเหลือ 4% ซึ่งหากแนวโน้มเศรษฐกิจในประทศขยายตัวต่ำกว่า 4% เชื่อว่าจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งลงเหลือ 2.25% จาก 2.50%

นายสาห์รัช กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลังจะมีแรงหนุนช่วยพยุงการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศจากภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น จากเศรษฐกิจในสหรัฐฯและญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่การบริโภคในประเทสคาดว่าจะยังมีการชะลอตัว เนื่องจากโครงการภาครัฐที่กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศหมดลงแล้ว ทำให้ความต้องการซื้อภายในประเทศหายไป

ด้านราคาน้ำมันคาดว่าเมื่อสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอียิปต์สิ้นสุดลงจะทำให้ราคาน้ำมันลดลง ซึ่งปัจจุบันการที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มขึ้นที่ไม่มีเสถียรภาพและความต้องการซื้อไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะไปช่วยหนุนการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน

สำหรับการลงทุนในทองคำ แนะนำให้นักลงทุนอย่าคาดหวังสูงมาก เนื่องจากอัตราผลตอบแทนของทองคำนั้นไม่สูงเหมือนในอดีตที่ให้ผลตอบแทน 20% และราคาทองคำก็มีแนวโน้มของการ sideway และอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากปัจจุบันตลาดหุ้นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการลงทุน หลังจากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯและญี่ปุ่น ส่วนเศรษฐกิจยุโรปแม้จะยังไม่ดีขึ้นมากแต่ก็ไม่ย่ำแย่ไปกว่าเดิม และตลาดเอเชียเป็นตลาดที่มีเศรษฐกิจเติบโตดีอยู่แล้ว ทำให้นักลงทุนจึงหันมาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมาก เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าทองคำและมีสภาพคล่องที่ดีกว่า

"การที่นักลงทุนจะหันไปลงทุนในทองคำอีกครั้งมีเพียงแค่เริ่มเห็นสัญญาณของเงินเฟ้อที่มาแรง แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นสัญญาณของเงินเฟ้ที่จะมาแรงมาก ก็ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นยังน่าสนใจในการลงทุนอยู่"นายสาห์รัช กล่าว

นายสาห์รัช กล่าวว่า การลงทุนในตราสารหนี้ ในช่วงนี้ไม่แนะนำให้ถือตราสารหนี้ระยะยาวในสหรัฐฯ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนปัจจุบันไม่มากนัก ส่วนตราสารหนี้ของไทยนั้น นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นมากกว่าระยะยาว เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าแต่มองว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ของไทยในระดับที่น่าสนใจเข้าซื้ออยู่ที่ 4% แต่ขระนี้อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ตระยะยาวอยู่ที่ราว 3%

"ถ้าจะให้เปรียบเทียบตราสารหนี้ไทยกับของต่างชาตินั้นไม่สามารถเปรียบเทียบได้ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของเรากับต่างชาตินั้นต่างกัน ทำให้ตราสารหนี้ของบ้านเราไม่ลิงค์กับข้างนอกมากนัก และตราสารหนี้ของไทยมีนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาลงทุนเยอะ อย่างเช่น กบข. และกองทุนประกันสังคม"นายสาห์รัช กล่าว

สำหรับการแนะนำการกระจายการลงทุนในระยะสั้นแนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯและญี่ปุ่น หรือตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มมีการเติบโตที่ดีขึ้นและเป็นตลาดที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี โดยเฉพาะตลาดในสหรัฐฯที่นักลงทุนไม่ค่อยมีความกังวลในเรื่องการลดขนาดหรือการถอนมาตรการ QE เพราะว่าไม่ว่าจะลดขนาดหรือถอนมารตรการ QE สหรัฐฯก็ได้ประโยชน์อยู่แล้ว

ประเทศญี่ปุ่นแนวโน้มเศรษฐกิจก็เริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในเรื่องของมาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบซื้อพันธบัตร 7.5 หมื่นล้านเหรียญ/เดือน ทำให้ปริมาณเงินเยนในระบบสูงขึ้น ส่งผลกด Yield พันธบัตรให้อยุ่ในระดับที่ต่ำ ทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่า ซึ่งในปีนี้ค่าเงินเยนจะอ่อนค่าอยู่ที่ระดับ 105 เยน/ดอลลาร์ และในปีหน้าอยุ่ที่ 110 เยน/ดอลลาร์ ทำให้ภาคการส่งออกมีการเติบโตขึ้นและส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนแปลงเป็นเงินเยนกลับมามีผลประกอบการที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้บริษัทจดทะเบียนของญี่ปุ่นสามารถเพิ่มค่าจ้างแรงงานได้สูงขึ้นและนำไปสู่การกระต้นการบริโภคภายในประเทศให้เติบโตขึ้น

ประกอบกับ การลงทุนของภาครัฐในญี่ปุ่นที่ตั้งวงเงินในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอยู่ที่ 10.3 ล้านล้านเยน ส่งเสริมให้กระตุ้นการลงทุนมากขึ้น และนโยบายการส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นให้มีการเติบโตมายิ่งขึ้น ซึ่งจะเริ่มทยอยออกมา อย่างเช่นการลดอัตราภาษีของบริษัทจดทะเบียนจาก 38% ให้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชียที่ 25% เพื่อทำให้อัตราการเติบโตของ GDP เพิ่มขึ้น และเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2%

ด้านการลงทุนในระยะกลางแนะนำให้นักลงทุนมีการกระจายการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากในเอเชียมีหลายประเทศเป็นประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ มีโอกาสในการพัฒนาและการเติบโตที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการกระตุ้นการลงทุนมาก โดยเฉพาะกระแสการเปิดเขตเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน(AEC)ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจมีการเติบโตที่อยู่ในระดับที่ดีและให้อัตราการผลตอบแทนในระดับที่ดี ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการกระจายการลงทุนในตลาดภูมิภาคเอเชีย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ