แต่อย่างไรก็ตาม ปตท.คาดว่าในช่วง 5 ปีนี้กิจการของบริษัทยังมีการเติบโตที่ดี โดยประเมินว่ารายได้ของกลุ่ม ปตท.จะเพิ่มขึ้นเป็น 4-5 ล้านล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันจะมีรายได้เกือบ 3 ล้านล้านบาท และบริษัยังมีแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20-30% ในช่วง 10 ปีนี้
"ปตท.จำเป็นที่จะต้องมีการปรับกลยุทธ์เมื่อสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงและมีความเสี่ยง โดยในเดือนสิงหาคมนี้คณะทำงาน ที่ประกอบด้วยผู้บริหารของกลุ่ม ปตท.จะทบทวนแผนการลงทุนและกลยุทธยุทธศาสตร์ของปตท.เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจโลก และจะนำเสนอต่อคณะกรรมของปตท.ภายในปีนี้"นายประเสริฐ กล่าว
อนึ่ง เมื่อเร็วๆนี้ ปตท.ปรับลดวงเงินลงทุนในปี 56 จาก 98,845 ล้านบาทลงเหลือ 52,618 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการปรับแผนการดำเนินงานของการลงทุนในต่างประเทศที่ยังไม่ได้กาหนดโครงการที่ชัดเจน ส่วนงบลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 56-60) กำหนดวงเงิน 3.66 แสนล้านบาท
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า กิจการในกลุ่ม ปตท.จะแบ่งเป็น บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตเลียม (PTTEP) จะเป็นแกนหลักในการสำรวจและขุดเจาะปิโตเลียม ขณะที่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เป็นแกนของธุรกิจโรงกลั่น ส่วน บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) อยู่ในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการศึกษาการควบรวมกิจการ PTTGC และ IRPC โดยระหว่างนี้ IRPC ก็พยายามปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยผ่านโครงการฟีนิกซ์ใช้เงินลงทุน 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเสร็จสิ้นในปี 58 เพื่อทำให้ทำการกลั่นได้เต็มกำลังการผลิต จากปัจจุบันมีกำลังการกลั่นอยู่ที่ 70-80%
ด้านนายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน PTT กล่าวว่า คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะออกหุ้นกู้สกุลเงินบาทประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ส่วนการออกหุ้นกู้สกุลต่างประเทศคาดว่าปีนี้ไม่มีแผนหลังจากที่ปีที่แล้วออกหุ้นกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐไป 1.1 พันล้านเหรียญ ทำให้บริษัทยังมีสภาพคล่องที่ดี โดยปัจจุบันมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ระดับ 0.4 เท่า
"วันนี้หุ้นกู้ต่างประเทศยังไม่มีแผน เพราะตลาดการเงินต่างประเทศไม่เอื้อ ดอกเบี้ยสหรัฐจะกลับมาขึ้นหลังหมดมาตรการ QE3 อย่างไรก็ดี ก็ต้องติตดามสภาพเศรษฐกิจ จึงยังไม่จำเป็นต้องออกหุ้นกู้ในครึ่งปีหลัง แต่จะอาจออกมาเพื่อ Refinance หุ้นกู้เดิม" นายสุรงค์ กล่าว