TMB เผยงวด H1/56 กำไรโต 53% ตามรายได้-NIM เพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 18, 2013 14:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (TMB) กล่าวว่า ใน 6 เดือนแรกของปี 56 ธนาคารมีผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องจากการให้ความสำคัญกับการให้บริการลูกค้าที่ดีขึ้น และนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการธุรกรรมการเงิน (Transactional Banking) ซึ่งตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ลูกค้าจึงไว้วางใจใช้บริการอย่างต่อเนื่องหลายผลิตภัณฑ์ ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยรับ(Net Interest Margin—NIM) เพิ่มเป็น 2.97% จาก 2.59% ในปี 55 และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 20.5%

ขณะเดียวกัน รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 36.7% เมื่อเทียบปีก่อน ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานโดยรวมเพิ่มขึ้น 23.5% ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารยังได้เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเพียง 4.0% ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนสำรอง มีจำนวน จำนวน 7,137 ล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว 53%

อนึ่ง TMB ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/56 และงวดครึ่งปี 56 ธนาคารและบริษัทย่อยมีผลกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรอง จำนวน 7,137 ล้านบาทสำหรับงวด 6 เดือน ซึ่งเพิ่มขึ้น 53% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มร้อยละ 36.7% และ NIM เพิ่มเป็น 2.97%

นายบุญทักษ์ กล่าววา จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวทางให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มอัตราส่วนสำรองของสินเชื่อคุณภาพเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากวัฎจักรเศรษฐกิจ (Countercyclical Cushion) เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มความมีเสถียรภาพของธนาคารพาณิชย์ไทย ทีเอ็มบีได้ตั้งสำรองพิเศษจำนวน 4,143 ล้านบาทสำหรับสินเชื่อคุณภาพ ทำให้สำรองของครึ่งปีแรกทั้งหมดคิดเป็นจำนวน 4,676 ล้านบาท หลังตั้งสำรองแล้ว ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรกของปีจำนวน 2,068 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

นายบุญทักษ์ กล่าวว่า คุณภาพของสินเชื่อรวมของธนาคารดีขึ้น ซึ่งใน 6 เดือนแรกของปีนี้ ธนาคารมีสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 2.5% โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กขยายตัวต่อเนื่องอยู่ที่ 22% ทั้งนี้ธนาคารมีสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.7% สำหรับงบเฉพาะธนาคารและ 4.0% สำหรับงบการเงินรวม การตั้งสำรองพิเศษส่วนเกินในครั้งนี้จึงส่งผลให้สัดส่วนสำรองรวมต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (coverage ratio) ของธนาคารและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจาก 113% เป็น 132%

ส่วนปริมาณเงินฝากลดลงประมาณ 3.6% ซึ่งเป็นการลดลงของเงินฝากขนาดใหญ่ ขณะที่สัดส่วนเงินฝากรายย่อยยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นเป็น 68% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน

ขณะเดียวกัน ธนาคารยังคงดำรงสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ภายใต้เกณฑ์ Basel III อยู่ที่ 16.9% ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ในสัดส่วน 11.3%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ