สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 3.9 ปี) LB155A (อายุ 1.8 ปี) และ LB196A (อายุ 5.9 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 13,243 ล้านบาท 7,667 ล้านบาท และ 6,004 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13815C (อายุ 28 วัน) CB13806A (อายุ 14 วัน) และ CB13801A (อายุ 11 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 36,116 ล้านบาท 35,667 ล้านบาท และ 31,637 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT138A (AAA) และ TLT149A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 1,361 ล้านบาท และ 520 ล้านบาท ตามลำดับ และหุ้นกู้ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) รุ่น IRPC147A (A-) มูลค่าการซื้อขาย 1,052 ล้านบาท
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield) ปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดย Yield ของตราสารหนี้ระยะสั้นอายุระหว่าง 1 เดือนถึง 1 ปี ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ประมาณ -1 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) ขณะที่ Yield ของตราสารอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงประมาณ +1 ถึง +2 Basis Point โดยถึงแม้ว่าปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ในสัปดาห์นี้จะค่อนข้างเบาบาง แต่ก็เริ่มมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาในตราสารหนี้ระยะสั้น หลังแถลงการณ์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งให้ความชัดเจนว่าถึงแม้ Fed มีแนวโน้มที่จะปรับลดปริมาณเงินที่จะอัดฉีดเข้าสู่ระบบจากการดำเนินนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในอนาคต แต่หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ และอัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูง Fed จะยังคงดำเนินมาตรการ QE ต่อไป พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำ (0 - 0.25%) ซึ่งตลาดคาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) รอบถัดไปที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ (17-18 ก.ย.) น่าจะมีความชัดเจนของการลดขนาดของมาตรการ QE เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้แล้ว ในส่วนของไทย ธปท. ได้ปรับลดเป้า GDP ปี 2556 เหลือเพียง 4.2% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.1% ตามปัจจัยลบที่เกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 12,816 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 2,689 ล้านบาท แต่กลับซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 15,505 ล้านบาท