ทริสฯ คงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ PL แต่ปรับแนวโน้มเป็น Stable จาก Positive

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 25, 2013 14:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ. ภัทรลิสซิ่ง (PL) คงเดิมที่ระดับ “A-" พร้อมทั้งปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable" หรือ “คงที่" จาก “Positive" หรือ “บวก"

แนวโน้มอันดับเครดิตที่ปรับใหม่สะท้อนถึงผลประกอบการทางการเงินของบริษัทที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งในแง่ของการดำรงความสามารถในการทำกำไรและอัตราส่วนหนี้สิน ซึ่งจะมีผลจำกัดการปรับอันดับเครดิตของบริษัทให้สูงขึ้นในระยะกลาง

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต“Stable"หรือ“คงที่"สะท้อนถึงพัฒนาการที่ต่อเนื่องในระบบการจัดการความเสี่ยงและสถานะทางธุรกิจของบริษัท ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็ง และการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งในแง่ของการดำรงความสามารถในการทำกำไรและอัตราส่วนหนี้สิน

ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะผู้นำในธุรกิจให้เช่าดำเนินงานรถยนต์โดยการเพิ่มความหลากหลายของฐานลูกค้าและรักษาฐานลูกค้ารายใหญ่กลุ่มเดิม รวมทั้งรักษาระดับคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีเอาไว้ พร้อมทั้งปรับเพิ่มผลประกอบการทางการเงินโดยอาศัยจุดแข็งต่าง ๆ จากสถานะผู้นำตลาด นอกจากนี้ บริษัทจะต้องปรับเพิ่มฐานทุนเพื่อรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินให้เป็นไปตามความคาดหมายของทริสเรทติ้งด้วย

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจให้เช่าดำเนินงานรถยนต์และความสามารถของคณะผู้บริหารของบริษัทในการขยายปริมาณสินทรัพย์ให้เช่าได้อย่างต่อเนื่อง อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงระบบการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตและการบริหารมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ให้เช่าที่เข้มงวดซึ่งทำให้บริษัทสามารถดำรงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและมีรายได้จากกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ให้เช่าอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความต้องการของบริษัทเอกชนในการใช้บริการรถเช่าที่เพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกบั่นทอนจากการแข่งขันที่รุนแรงซึ่งยังคงเป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัท นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ให้เช่าจากการกู้ยืมที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคตจะทำให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลง

PL ยังคงรักษาสถานะผู้นำในตลาดเช่าดำเนินงานรถยนต์เอาไว้ได้โดยเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ให้เช่ารวมของผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้ง 30 รายในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง บริษัทให้บริการเช่าดำเนินงานและเช่าทางการเงินแก่ลูกค้านิติบุคคลที่เป็นบริษัทขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ณ สิ้นปี 2555 บริษัทมีสินทรัพย์ให้เช่าสุทธิที่ระดับ 7,875 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ 6,579 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2554 ในขณะที่ลูกหนี้สินเชื่อให้เช่าการเงินอยู่ที่ระดับ 1,487 ล้านบาท เทียบกับ 1,458 ล้านบาทในปี 2554 สินทรัพย์ให้เช่าสุทธิปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 8,184 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 ในขณะที่ลูกหนี้สินเชื่อให้เช่าการเงินเพิ่มขึ้นเป็น 1,593 ล้านบาท

การมีเครือข่ายบริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศช่วยเพิ่มระดับความสามารถของบริษัทในการให้บริการแก่ลูกค้ารายใหญ่ การพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ให้ประโยชน์แก่บริษัทจากการประหยัดต่อขนาด แต่ก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงสูงจากการกระจุกตัวของฐานลูกค้าทั้งในด้านการผิดนัดชำระหนี้และการพึ่งพิงรายได้จากลูกค้ารายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้บรรเทาลงจากการที่ลูกค้ารายใหญ่มีคุณภาพเครดิตที่ค่อนข้างดี บริษัทมีความพยายามในการกระจายฐานลูกค้าซึ่งสะท้อนจากการเปลี่ยนแปลงในการกระจุกตัวของฐานลูกค้ารายใหญ่ทั้ง 20 ราย เมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ให้เช่าสุทธิภายใต้สัญญาเช่าดำเนินงานและสินเชื่อคงค้างภายใต้สัญญาเช่าการเงินแล้วปรากฏว่าลูกค้ารายใหญ่ 20 รายแรกคิดเป็นสัดส่วน 36.3% ของสินทรัพย์รวมของบริษัท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 55.9% ในปี 2552 นอกจากนี้ ลูกค้ารายใหญ่ทั้ง 20 รายของบริษัทยังกระจายตัวอยู่ในอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้นด้วย

หลังจาก บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในปี 2549 แล้ว ตัวแทนของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตซึ่งเข้ามามีบทบาทโดยผ่านช่องทางคณะกรรมการบริษัทก็ได้ให้การสนับสนุนความพยายามในการพัฒนาระบบการจัดการความเสี่ยงของบริษัท ทั้งนี้ ระบบการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวดมีส่วนช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้เมื่อมีการขยายธุรกิจไปสู่สินทรัพย์ประเภทอื่นซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่าสินทรัพย์ประเภทรถยนต์ ความพยายามดังกล่าวสะท้อนจากความสามารถในการรักษาระดับอัตราส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ค้างชำระเกิน 90 วัน) ให้อยู่ในระดับต่ำ และ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 บริษัทก็ไม่มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ทั้งในส่วนสัญญาเช่าดำเนินงานหรือสัญญาเช่าการเงินแต่อย่างใด

บริษัทมีกำไรสุทธิ 241 ล้านบาทในปี 2555 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 201 ล้านบาทในปี 2554 ผลการดำเนินงานในปี 2554 ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลและการเปลี่ยนแปลงนโยบายการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับสัญญาเช่าการเงินของบริษัท การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ผ่านมาได้ลดประโยชน์ทางภาษีที่บริษัทได้รับจากสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ผลกระทบจากประเด็นทางภาษีดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น 61 ล้านบาทในปี 2554

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับประโยชน์จากการกลับรายการค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญซึ่งมีมูลค่าประมาณ 35 ล้านบาท แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ระดับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญก็ยังอยู่ในระดับที่สูงเพียงพอเมื่อเทียบกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีของบริษัท อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% ในปี 2555 จาก 2.3% ในปี 2554 แต่เมื่อพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนก่อนภาษีเงินได้และค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญแล้ว อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของบริษัทกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง การแข่งขันที่รุนแรงทั้งในธุรกิจให้เช่าดำเนินงานรถยนต์และเช่าการเงินคาดว่าจะยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การแข่งขันที่รุนแรงจะเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในระยะกลาง

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทใช้เงินทุนจากการกู้ยืมในการขยายฐานสินทรัพย์เป็นหลัก โดย ณ สิ้นปี 2555 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 4.0 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 3.4 เท่าในปี 2554 และ 2.9 เท่าในปี 2553 และจากที่คาดว่าความสามารถในการทำกำไรจะยังคงได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทจึงคาดว่าจะยังคงถดถอยลง ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถปรับเพิ่มระดับผลประกอบการและควบคุมอัตราส่วนหนี้สินได้ ทั้งนี้ บริษัทได้พยายามรักษานโยบายการจัดการสินทรัพย์และหนี้สินที่เข้มงวดด้วยการบริหารอายุของหนี้ผ่านการกู้ยืมระยะยาวเพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาของสัญญาเช่าสินทรัพย์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ