"ในครึ่งปีหลังไม่ได้กังวลเรื่องกำลังซื้อที่จะชะลอ แม้จะมีการปรับลด GDP เพราะสินค้าของบิ๊กซีเป็นสินค้าที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันทุกวัน เชื่อว่ารับผลต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย"นายกุฎาธาร กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้จะใช้งบลงทุน 8 พันล้านบาทสำหรับการขยายสาขาทั้งไฮเปอร์มาร์เก็ต, บิ๊กซีมาร์เก็ต,มินิบิ๊กซี และร้านขายยาเพียว ส่วนศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ 2 แห่ง ที่จ.ปทุมธานี และอีก 1 แห่งด้านฝั่งตะวันออกนั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 57 โดยใช้งบลงทุนรวม 3 พันล้านบาท เพื่อรองรับธุรกิจได้ถึงปี 59
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างศึกษาการขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้
นายกุฎาธาร กล่าวว่า ในปี 56 บริษัทจะเปิดห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซนเตอร์เพิ่มอีก 6 สาขา บิ๊กซีมาร์เก็ต 13 สาขา มินิบิ๊กซี 150 สาขา และร้ายขายยาเพียว 50 สาขา ใช้งบลงทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีสาขาของห้างและร้านค้าในเครือรวม 450 สาขา
และภายในปี 59 บิ๊กซีจะมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มเป็น 1,250 สาขา แบ่งเป็นสาขาบิ๊กซี ซูปเปอร์เซนเตอร์ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า บิ๊กซีมาร์เก็ต บิ๊กซีจัมโบ้ให้ครบ 300 สาขา และมินิบิ๊กซี 950 สาขา โดยใช้งบลงทุน 5 ปี (55-59) ที่ตั้งไว้รวม 4.5 หมื่นล้านบาท
"บิ๊กซียังเน้นความคุ้มค่าด้านราคาถูกสุด ออกแคมเปญการตลาดต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาออกแคมเปญได้ผลดี และขยายสาขาทุกรูปแบบ ทำให้รายได้โตตามเป้าทั้งจากยอดขายจากสาขาเดิมและสาขาใหม่ และรายได้ค่าเช่าพื้นที่ และยังมีการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ซึ่งโตเป็นเท่าตัว"นายกุฏาธาร กล่าว
ด้าน น.ส.รำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน BIGC กล่าวว่า กำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้น่าจะเติบโตมากกว่ายอดขายที่คาดว่าจะเติบโตในอัตรา 9-10% เนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและบริหารต้นทุนได้ดี ขณะที่ยอดขายเติบโต รายได้จากค่าเช่าพื้นที่ก็เพิ่มขึ้น ส่วนครึ่งหลังอาจเกิดสัญญาณการชะลอการบริโภคบ้างตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้เหลือ 4% จากเดิม 5% ซึ่งบริษัทก็ต้องพยายามทำกิจกรรมการตลาด ออกแคมเปญอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ
พร้อมกันั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการขยายสาขาในประเทศเพื่อนบ้าน โดยมองแถบอาเซียนก่อน ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นสาขาแรกในอาเซียนภายในปี 57 โดยขณะนี้ยังมีปัจจัยค่อนข้างที่ต้องพิจารณาประกอบ