อย่างไรก็ตาม กำไรในไตรมาส 2/56 จะดีกว่าไตรมาส 1/56 หรือไม่นั้น ยังไม่แน่ใจ แม้ว่าปริมาณขายถ่านหินจะสูงขึ้น แต่ราคาขายทรงตัวในระดับต่ำ ขณะที่การแข่งขันในตลาดสูงมาก
"ไตรมาส 2/56 พลิกกำไรจากไตรมาส 2/55 ขาดทุนจากการตั้งสำรองเพราะราคาถ่านหินปรับลงไม่หยุด พอราคาไม่ปรับลงอีกแล้วก็กลับมา เพราะเราเป็น trading ซึ่งบริษัทก็เริ่มกลับมาเป็นกำไรได้ตั้งแต่ไตรมาส 3-4/55 และไตรมาส 1/56 แล้ว"นายพนม กล่าว
สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ เชื่อว่ายอดขายจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก และยังคงเป้าหมายยอดขายทั้งปีนี้ที่ 6 พันล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่มียอดขาย 4.4 พันล้านบาท แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะยังทำได้ไม่ถึงครึ่งของเป้าหมายที่วางไว้ แต่เชื่อว่าเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวยอดขายในต่างประเทศจะดีขึ้นมาก
ขณะที่ในด้านราคา ขณะนี้ดัชนีราคาถ่านหินในตลาดโลกยังผันผวนแต่อิงทางลงมากกว่า และคาดว่าครึ่งหลังคาดราคาถ่านหินในตลาดโลกคงยังไม่ฟื้นตัวเร็ว น่าจะทรงตัว และมีการปรับขึ้น-ลงบ้าง ขณะที่ความต้องการใช้ถ่านหินยังมี แต่การแข่งขันของธุรกิจถ่านหินค่อนข้างสูง ทั้งนี้ มองว่าราคาถ่านหินน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เพราะถ้าต่ำกว่านี้เหมืองคงต้องปิด โดยราคาถ่านหินเฉลี่ยปีนี้น่าจะอยู่ที่ 80 เหรียญสหรัฐ/ตัน ต่ำกว่าปีก่อนที่ความผันผวนสูงในช่วง 80-100 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนเศรษฐกิจจีนที่ชะลอกระทบต่อการขายถ่านหินของบริษัทบ้าง เพราะจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก แต่บริษัทก็ปรับกลยุทธ์โดยการเข้าไปรุกตลาดอินเดียมากขึ้น ซึ่งในปีนี้ยอดขายในประเทศจะมีสัดส่วน 70% ต่างประเทศ 30% โดยใน 30% ส่วนใหญ่เป็นจีน และปีนี้จะมียอดขายอินเดียเข้ามาเสริมมากขึ้น เพื่อทดแทนตลาดจีนที่ลดลง เนื่องจากในอินเดียมีการสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหิน