สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 3.9 ปี) LB196A (อายุ 5.9 ปี) และ LB236A (อายุ 9.9 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 12,312 ล้านบาท 9,674 ล้านบาท และ 6,845 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13813A (อายุ 14 วัน) CB13822C (อายุ 28 วัน) และ CB13O24B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 41,257 ล้านบาท 29,913 ล้านบาท และ 21,554 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) รุ่น IRPC147A (A-(tha)) มูลค่าการซื้อขาย 877 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) รุ่น HEMRAJ231A (A-) มูลค่าการซื้อขาย 323 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) รุ่น AP169A (A-) มูลค่าการซื้อขาย 247 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ในตราสารหนี้ระยะสั้น อายุน้อยกว่า 1 ปี ในช่วง -1 ถึง -2 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) ขณะที่ตราสารช่วงอายุ 5 ปี ถึง 15 ปี Yield ปรับตัวเพิ่มขึ้น ในช่วงประมาณ +4 ถึง +14 Basis Point หลังจากในช่วงกลางสัปดาห์ที่มีการประมูลพันธบัตร รุ่น Benchmark Bond อายุ 5 และ 10 ปี แต่เนื่องจากผลการประมูลพันธบัตรใหม่ที่มีการตอบรับที่ไม่ดีนัก โดยเฉพาะพันธบัตร รุ่นอายุ 10 ปี ที่มียอดจำหน่ายเพียง 6,290 ล้านบาท จากวงเงินประมูล 10,000 ล้านบาท ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 10 Basis Point แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ Yield ค่อนข้างนิ่ง และปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง เนื่องจากยังขาดปัจจัยใหม่ๆ สำหรับประเด็นที่น่าจับตามองยังคงอยู่ที่ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 30-31 ก.ค.นี้ ว่าจะมีมาตรการหรือการส่งสัญญาณใดๆ ต่อการลดขนาดการเข้าซื้อพันธบัตรภายใต้มาตรการ QE หรือไม่ และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆ ของสหรัฐฯ รวมถึง ปัจจัยทางด้านการเมืองภายในประเทศอีกด้วย
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 16,067 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 254 ล้านบาท แต่กลับซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 16,321 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนรายย่อย มียอด ขายสุทธิ 173 ล้านบาท