"ราคาที่จะเสนอขาย IPO ขณะนี้ยังกำหนดช่วงราคาไว้ที่ 45-49 บาท อยู่เช่นเดิม และคาดว่าจะสรุปราคาเสนอขายอย่างเป็นทางการได้ในวันที่ 2 ส.ค.ซึ่งจะเป็นวันเซ็นสัญญาแต่งตั้งอันเดอร์ไรต์เตอร์"นายฤทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ เอ็มเคฯ จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 185.85 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้ก่อสร้างโรงงานครัวกลางแห่งใหม่ ที่บางนา-ตราด กม.22 โดยใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท ขยายสาขาเพิ่ม แบ่งเป็นเอ็มเค 40 สาขา ยาโยอิ 25 สาขา โดยใช้เงินลงทุนรวม 500-600 ล้านบาท และนำเงินไปใช้หนี้ธนาคาร หลังจากกู้เงินมาเพื่อจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น โดยขณะนี้มีหนี้คงค้างอยู่ 800 ล้านบาท จาก 1,070 ล้านบาท ซึ่งจะชำระเป็นเงินก้อนทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม หลังจากเพิ่มทุนจดทะเบียนแล้วจะบริษัทฯจะมีทุนจดทะเบียนเป็น 900 ล้านบาท จากเดิมมีทุนจดทะเบียนอยู่ 720 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 80% โดยคาดว่าจะมีการปรับลดสัดส่วนการถือหุ้นลง เป็น 51% และจะทยอยเข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 20% รวมถึงบริษัทฯมีนโยบายจ่ายปันผลหลังเข้าจดทะเบียน ขั้นต่ำ 50% ซึ่งหากมีกระแสเงินสดมากมองว่าจะสามารถจ่ายปันผลได้มากกว่านี้
ส่วนแผนธุรกิจต่างประเทศ นายฤทธิ์ กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทฯรุกตลาดด้วยการร่วมลงทุนกับบริษัท Plenus Company Limited ของญี่ปุ่นซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ ยาโยอิ เพื่อเปิดร้านเอ็มเค สุกี้ ในประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมี 35 สาขา และที่ประเทศสิงคโปร์ ทั้งร้านเอ็มเค สุกี้ กับร้านยาโยอิ รวม 4 สาขา และแบบแฟรนไชส์ บริษัทยังมีร้านเอ็มเค สุกี้ ที่ประเทศเวียดนาม 3 สาขา แบ่งเป็นที่เมืองโฮจิมินห์ 2 สาขาและฮานอย 1 สาขา
ล่าสุด บริษัทฯเตรียมเปิดร้านเอ็มเค สุกี้ ที่เมืองจาร์กาต้า ประเทศอินโดนีเซีย เดือนสิงหาคมนี้ ในรูปแบบเดียวกับประเทศเวียดนาม อย่างไรก็ตามสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศขณะนี้ยังน้อยมากโดยไม่ถึง 1%
นอกจากนี้ บริษัทฯได้ทดลองเปิดร้านอาหารญี่ปุ่น โดยมีชื่อว่าร้านเทนจิน เทปปันยากิ, ฮากาตะ ราเมน และร้านกาแฟ ชื่อว่า เลอเพอทิท ที่โรงพยาบาลศริราช
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าอัตราการเติบโตหรือรายได้ปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 10-15% และจะรักษาระดับการเติบโตให้อยู่ที่ 10-20% ต่อปี เนื่องจากมองว่าหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว จะทำให้อัตราการเติบโตมากกว่า 10% แน่นอน