อย่างไรก็ตาม แม้จะประเมินว่ารายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 2.16 แสนล้านบาท แต่การที่แนวโน้มเงินบาทแข็งค่าขึ้นในไตรมาส 3/56 นั้น ทำให้ยอดขายอยู่ในรูปเงินรูเปี๊ยะห์ของอินโดนีเซีย และเงินดองของเวียดนาม เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทจะน้อยลง โดยประเมินว่าเงินบาทแข็งค่าทุก 1 บาทจะกระทบรายได้ 1,200 ล้านบาท/ปี ดังนั้น บริษัทจึงได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน(headging)ไว้ในสัดส่วน 70-75% จึงเชื่อว่าจะช่วยลดผลกระทบได้มาก
ในไตรมาส 3/56 คาดว่าผลการดำเนินงานจะดีกว่าในไตรมาส 2/56 ไม่นับรวมเงินปันผลที่ได้รับจากธุรกิจที่เครือไปลงทุนไว้จำนวนมาก เนื่องจากคาดว่าในไตรมาสนี้ธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งมีสัดส่วน 50% ของผลประกอบการ จะปรับตัวดีขึ้นตามส่วนต่างผลิตภัณฑ์(สเปรด)ที่คาดว่าจะดีใกล้เคียงกับไตรมาส 2/56 ซึ่งส่วนต่างเม็ดพลาสติก PP-แนฟทา อยู่ที่ 600 เหรียญ/ตัน และส่วนต่างเม็ดพลาสติก PE-แนฟทา อยูที่ 580 เหรียญ/ตัน
ประกอบกับ มั่นใจว่าในไตรมาส 3/56 จะไม่มีผลขาดทุนสต็อกเหมือนในไตรมาส 2/56 ที่มีผลขาดทุนกว่า 800 ล้านบาท
"ตอนนี้ราคาน้ำมันเริ่มลดลงแล้วแต่ราคาผลิตภัณฑ์กลับขยับเพิ่มขึ้น สเปรดไตรมาส 3 ก็ยังสูสีกับไตรมาสที่แล้ว"นายกานต์ กล่าว