"การเมืองเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ถ้ารัฐบาลสั่นคลอน การพิจารณากฎหมายในแง่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะไม่เกิดขึ้นตามแผน ซึ่งการประชุมสภาฯจะกินเวลาทั้งเดือนส.ค.ทำให้ไตรมาส 3 เป็นไตรมาสแย่สุด แต่ดัชนีไม่น่าลงต่ำกว่านี้ เพียงแต่ไม่ไปไหนไกลจะแกว่งตัวไซด์เวย์"นางภรณี กล่าว
ส่วนปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ลดความกังวลลงแล้ว หลังจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวทั้งตัวเลขบ้านและค้าปลีกมีสัญญาณฟื้นตัวดีมาก ขณะที่ฝั่งยุโรปแม้เศรษฐกิจยังหดตัว แต่ก็ติดลบลดลง คงมีเพียงจีนที่ยังมีอิทธิพลต่อตลาดจากเดิมเศรษฐกิจที่ลดลง โดยนักเศรษฐศาสตร์โลกคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจีนจะเติบโตราว 6% แต่ส่วนตัวมองไว้ที่ 5% เศษๆ
ทั้งนี้ จากคาดการณ์ของแต่ละสำนักจะรวมปัจจัยการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐไว้ด้วย ทั้งโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท เมื่อโครงการจัดการน้ำต้องนับหนึ่งใหม่ก็คงไม่เกิดขึ้นใน 1 ถึง 1 ปึครึ่ง คาดกว่าจะเกิดในปี 58 ขณะที่โครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทนั้น หากวันที่ 4 ส.ค.หรือ 7 ส.ค.เกิดความวุ่นวายจนสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลก็จะกระทบการผลักดันนโยบาย
ด้านกำไร บจ.นั้น หลังกลุ่มธนาคารประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/56 ออกมาต่ำกว่าคาด เพราะการตั้งสำรองหนี้มีปัญหาเกินกว่านโยบาย และครึ่งปีหลังอาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งการบริโภคภาคครัวเรือนของไทยเริ่มหดตัวตั้งแต่ เม.ย.-พ.ค.56 การลงทุนภาคเอกชนก็ชะลอตัวตั้งแต่เม.ย. ดัชนีเหล่านี้บ่งชี้ว่าถ้าการเมืองมีปัญหาการลงทุนภาครัฐกระตุกก็จะกระทบแบงก์
ขณะที่กลุ่ม real sector เช่น กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มพลังงานไตรมาส 2/56 กำไรแย่ลง เพราะรายได้ที่เกิดจกาการขายอิงราคาผลิตภัณฑ์ตลาดโลก จึงมีโอกาสมากที่นักวิเคราะห์จะปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น
นางภรณี กล่าวว่า นักลงทุนควรจับตาการประเมินเศรษฐกิจไทยในมุมมองของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)ที่เคยคาดการณ์ว่าปีนี้จะเติบโต 5.6% ว่าจะปรับลงมาที่เท่าใด หากปรับลงต่ำกว่าหลายสำนักหรือธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ที่ประมาณ 4% ก็จะมีผลต่อตลาดหุ้นอีกครั้ง เพราะขณะนี้ตลาดปรับลงมาสะท้อนการปรับลดประมาณการของธปท.ที่ 4.2% ไปแล้ว
ดังนั้น มองดัชนี SET ในปีนี้กรณีแย่สุดหากการเมืองร้อนแรงจะลงไปที่ 1,330 จุด ค่า P/E 14 เท่า หากตลาดดีมองโอกาสที่จะไป 1,450-1,500 จุด ปลายปี