ทั้งนี้ มองว่าหุ้นกลุ่ม ICT จะมีการเติบโตที่สูง เนื่องจากมีปัจจัยบวก 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1.ต้นทุนของการดำเนินการลดลง จากรูปแบบสัมปทานที่เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบใบอนุญาต ทำให้จ่ายส่วนแบ่งรายได้ลดลงจาก 15-20% ต่อปี มาเป็น 5.2% ต่อปี 2.เทคโนโลยีทันสมัยทำให้มีปริมาณผู้ใช้เปลี่ยนมาใช้บริการแบบใหม่มากขึ้น 3.กฎระเบียบในปัจจุบันเอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านมาสู่ระบบ 3G มากขึ้น จากสัดส่วนปัจจุบันของผู้ใช้สมาร์ทโฟนอยู่ที่ 20%ของผู้ใช้ทั่วประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีผู้ใช้โมบายโฟนมากขึ้น และมีแนวโน้มเติบโตอีกมากในอนาคต
สำหรับเป้าดัชนี SET ปีนี้ บลจ.กรุงไทย ได้ปรับลดมาอยู่ที่ 1,550 จุด จากเดิม 1,650 จุด เพื่อให้สอดรับกับการปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือ 4%
ด้านนายกวี มานิตสุภวงษ์ ผู้อำนวยการ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า หุ้นกลุ่มสื่อสารประกอบด้วย ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ผู้ให้บริการดาวเทียม ผู้จำหน่ายมือถือ และผู้ให้บริการโครงข่าย ซึ่งผู้ที่ได้รับประโยชน์จาก 3G โดยตรงเป็นผู้ให้บริการมือถือ 3 ค่าย คือ AIS, DTAC และ TRUE โดยผู้ให้บริการดังกล่าวได้มีการติดตั้งโครงข่าย 3G แล้ว ซึ่งมีเพียงปัญหาของการย้ายลูกค้าจากระบบ 2G มาเป็นระบบ 3G เท่านั้น จึงมองว่าน่าจะเป็นหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ
แนวโน้มผลประกอบการของหุ้นกลุ่ม ICT ในช่วงครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะยังคงเติบโตดีต่อเนื่อง โดยจะเติบโตประมาณ 33% จากครึ่งปีแรกเติบโต 10-20% เนื่องจาก 3 ค่ายมือถือ AIS, DTAC และ TRUE ได้ตั้งเป้ารายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายเพิ่มขึ้น โดย DTAC ตั้งเป้าปีนี้จะมีลูกค้า 3G ราว 8-10 ล้านเลขหมาย AIS ตั้งเป้า 10 ล้านเลขหมาย และ TRUE ตั้งเป้า 6 ล้านเลขหมาย ประกอบกับทาง กสทช.ก็ได้ปรับเกณฑ์จากเดิมให้มีผู้โอนย้ายบริการได้ 4 หมื่นรายต่อวันเป็น 3 แสนรายต่อวัน
ขณะที่นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นในขณะนี้นักลงทุนส่วนใหญ่มีความกัวลต่อเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองว่าอาจจะถึงขั้นยุบสภา
ทั้งนี้ มองว่าดัชนี SET ขณะนี้อยู่ที่ 1,400 จุด มีค่า P/E อยู่ที่ 13 เท่า แนะนำให้นักลงทุนควรเก็งกำไรน้อยลง เนื่องจากตลาดหุ้นยังผันผวนค่อนข้างสูง ประกอบกับควรเพิ่มพอร์ตการลงทุนระยะยาวเป็น 40% และเลือกลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ ผลประกอบการดี อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าปลายปีนี้ SET มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นหลังมีการปรับฐานลงพอสมควร โดยคาดว่าดัชนี SET จะไปอยู่ที่ 1,570 จุด และค่า P/E ที่ 15 เท่า
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะขับเคลื่อนจากงบลงทุนของภาครัฐเป็นหลัก แต่ต้องรอดูว่ากฎหมายงบประมาณและ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จะสามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ หรือไม่ หากผ่านสภาฯ ไปได้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในประเทศอย่างมาก รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชนโดยเฉพาะการลงทุนเพื่อตเรียมพร้อมรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ซึ่งก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจ
ส่วนจะมีการปรับลดกำไร บจ.ลงหรือไม่ เนื่องจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการปรับลดคาดการณ์ GDP ลงนั้น นายเทิดศักดิ์ กล่าวว่า อาจจะมีการพิจารณา ซึ่งต้องรอดูผลประกอบการในไตรมาส 2/56 ก่อน หากปรับลดมากกว่าคาดก็อาจจะพิจารณาปรับลดคาดการณ์ทั้งปีลง แต่เบื้องต้นหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นกลุ่มแบงค์ยังให้ผลตอบแทนที่ดี รวมถึงกลุ่มรับเหมาก่อสร้างยังมีงานในมืออยู่ถึง 490,000 ล้านบาทจากผู้ประกอบการ 11 ราย และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีงานในมืออยู่ที่ 260,000 ล้านบาท ซึ่ง Backlog เหล่านี้จะเป็นตัวบันทึกรายได้เข้ามาเป็นกำไรในอนาคต