อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในตลาดทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาปานกลางถึงต่ำ ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงล่าง ความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และยอดขายรอการส่งมอบจำนวนมากที่ช่วยประกันรายได้ของบริษัทในอนาคตได้ส่วนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ค่อนข้างสูง ตลอดจนลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง รวมถึงความกังวลในด้านต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ปรับตัวสูงขึ้นและภาวะการขาดแคลนแรงงาน
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้จำนวนมากได้ตามแผนและจะรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้ต่ำกว่า 55%
PS เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยชั้นนำของประเทศซึ่งก่อตั้งในปี 2536 โดยนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2548 ณ เดือนมีนาคม 2556 กลุ่มตระกูลวิจิตรพงศ์พันธุ์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 74% ของหุ้นทั้งหมด
บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนาอยู่เป็นจำนวนมากถึง 234 โครงการ ณ เดือนมิถุนายน 2556 โครงการของบริษัทมีมูลค่าเหลือขายรวมทั้งสิ้นประมาณ 61,000 ล้านบาท และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ประมาณ 43,000 ล้านบาท โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทประกอบด้วยทาวน์เฮ้าส์ซึ่งคิดเป็น 51% ของมูลค่าโครงการเหลือขายทั้งหมด รวมทั้งบ้านเดี่ยว 26% คอนโดมิเนียม 22% และโครงการในต่างประเทศอีก 1% โดยมีราคาขายเฉลี่ยที่ 1.9 ล้านบาทต่อหน่วย
ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากการใช้เทคโนโลยีชิ้นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูปและการบริหารจัดการงานก่อสร้างโครงการทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวโดยบริษัทเอง ทั้งนี้ ชิ้นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูปที่ผลิตได้เป็นจำนวนมากช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนและลดระยะเวลาการก่อสร้างลงได้ ซึ่งส่งผลทำให้บริษัทสามารถกำหนดราคาขายที่ได้เปรียบคู่แข่ง
ยอดขายของบริษัทในปี 2555 เพิ่มขึ้น 15% เป็น 29,396 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายของทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมที่เติบโต 19% และ 58% ตามลำดับ ยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 เท่ากับ 22,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 12,688 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยยอดขายของบริษัทเติบโตจากสินค้าที่อยู่อาศัยทุกประเภท
รายได้ของบริษัทเท่ากับ 27,023 ล้านบาทในปี 2555 เพิ่มขึ้นจากประมาณ 23,000 ล้านบาทต่อปีในปี 2553 และ 2554 ในปี 2555 บริษัทมีรายได้จากโครงการทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 30% เป็น 14,908 ล้านบาท รายได้จากโครงการบ้านเดี่ยวเท่ากับ 8,775 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 7,140 ล้านบาทในปี 2554 ในขณะที่รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมลดลง 37% เหลือ 2,837 ล้านบาท
รายได้ในไตรมาสแรกของปี 2556 เท่ากับ 6,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จาก 4,655 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นของโครงการทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวเนื่องจากบริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จและพร้อมโอนในครึ่งแรกของปี 2556 เพียง 3 โครงการเท่านั้น รายได้จากทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวเติบโตถึง 59% และ 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ จากยอดขายที่รอรับรู้รายได้จำนวน 43,000 ล้านบาท
ณ เดือนมิถุนายน 2556 บริษัทมีแผนจะส่งมอบและรับรู้รายได้ประมาณ 24,500 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 และอีกประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2557-2558
อัตรากำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 17-21% ในช่วงปี 2553 ถึงไตรมาสแรกของปี 2556 ลดลงจาก 26% ในปี 2552 และ 25% ในปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทได้รับประโยชน์จากมาตรการทางภาษีของภาครัฐ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทในช่วงปี 2553 ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2556 อยู่ที่ 47-55% สูงกว่าในอดีตเนื่องจากบริษัทมีการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของบริษัทก็ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 19% ในปี 2555 และ 17% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) บริษัทมีวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวนมากถึง 16,000 ล้านบาท ณ เดือนพฤษภาคม 2556 ซึ่งทำให้บริษัทยังคงมีสภาพคล่องที่เพียงพอ