ภาวะตลาดโดยรวมช่วงนี้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมือง แต่เชื่อว่าจะเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวกลับไปสู่ที่เดิม จากเดือนพ.ค.ที่ปรับตัวลงมาจากกระแสข่าวที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED)จะชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) ขาดแต่ตลาดหุ้นไทยที่ยังห่างไกลจากจุดที่เคยขึ้นไปสูงสุด 1,600 จุด โดยวันนี้ดัชนีมาอยู่ที่ประมาณ 1,400 จุด
"ถ้าเทียบกับในตลาดหุ้นเอเชีย ไทยมี gap สูงสุดจากวันที่ดัชนีทำ peak สุดที่ 1,600 จุด ขณะที่ตลาดอื่นวิ่งขึ้นไปใกล้จุดสูงสุดเดิมแล้วขาดอีกแค่ 2-3%ก็จะถึงแล้ว เพราะตลาดโลกหายตกใจเรื่องเฟดชะลอ QE ตลาดหุ้นทั่วโลกสะท้อนสถานการณ์ที่เศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นเรื่อยๆ และเฟดชะลอ QE ตั้งแต่กันยายนจนถึงปลายปีหน้า แต่หุ้นไทยยัง underperform"นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับเหตุผลที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่ขยับขึ้นเหมือนตลาดอื่น เนื่องจากปัจจัยในประเทศและบรรยากาศการลงทุนไม่ดี โดยเฉพาะเกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจ จากต้นปีที่คาดว่าจะเติบโตได้ดี แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาเมื่อวานนี้ แม้จะไม่ได้ผล 100% แต่น่าจะช่วยให้บรรยากาศของตลาดดีขึ้น
ส่วนปัจจัยการเมือง แม้ทุกคนจะกังวลมากแต่ตลาดหุ้นไม่ได้ทรุดตัวลงมากนัก เพราะเป็นแค่ปัจจัยทางจิตวิทยา แต่ข้อดีอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือไม่มีการขายหนักๆ ซึ่งวอลุ่มในช่วงขาลงอยู่ที่ 2-3 หมื่นล้านบาท/วัน แสดงว่านักลงทุนไม่ได้พะวงกับประเด็นนี้มากนัก หากเทียบกับวอลุ่มในช่วงขาขึ้นที่มี 5-6 หมื่นล้านบาท/วัน เพียงแต่นักลงทุนกำลังหาจังหวะเข้าลงทุน โดยรอให้สถานการณ์ชัดเจนก่อน
"ถ้าจะกลัวการเมือง ก็น่าจะกลัวว่าจะทำให้โครงการต่างๆ ถูกชะลอออกไปหมด โดยเฉพาะโครงการ 2 ล้านล้านบาทเป็นประเด็นที่น่าห่วง เพราะเป็นจุดขายที่นักลงทุนต่างประเทศชื่นชม ถ้าจะติดขัดเพราะเรื่องการเมือง ซึ่งก็ต้องดูต่อไปว่ารัฐบาลจะมีทางออกอย่างไร จะมีวิธีอื่นไหม ต่างประเทศคงรอดูปัจจัยนี้มากกว่า เพราะเป็นการต่อยอดเศรษฐกิจได้"นายไพบูลย์กล่าว
ด้านปัจจัยต่างประเทศ มองว่าขณะนี้ไม่ใช่ประเด็นหลักที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยแล้ว หากประเด็นการเมืองหายไป ตลาดหุ้นก็คงจะปรับขึ้นแรง หรือถ้าการเมืองเริ่มนิ่งก็จะมีแรงกระตุ้นให้ตลาดวิ่งขึ้นไปได้ และอยากให้ทุกคนกลับมาดูที่ปัจจัยพื้นฐาน เพราะเชื่อว่าครึ่งปีหลังตัวเลขส่งออกจะดีขึ้น หลังจากเงินบาทอ่อนค่ามาที่ 31-32 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่เงินบาทอยู่ในช่วง 29-30 บาท/ดอลลาร์
บล.ทิสโก้ แนะนำให้ลงทุนหุ้นที่เกี่ยวกับการส่งออก โรงแรม หุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โดยมองว่าการส่งออกครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่หุ้น IPO ต้องเลือกลงทุนเป็นรายตัว บางตัวก็ไม่เกี่ยวกับการเมืองก็น่าจะยังได้รับความสนใจ