ทริส คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ MINT ที่ "A" คงแนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 8, 2013 11:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ที่ระดับ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดี รวมทั้งสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง และคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ ทั้งนี้ ความหลากหลายของธุรกิจและสถานที่ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากนโยบายการเติบโตและการลงทุนเชิงรุกของบริษัท ตลอดจนลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ การแข่งขันที่รุนแรง และอัตรากำไรที่ต่ำของธุรกิจอาหารบริการด่วนและธุรกิจจัดจำหน่าย

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถดำรงผลการดำเนินงานให้เติบโตและสร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่องต่อไป นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อที่จะรักษาสมดุลระหว่างการลงทุนและแหล่งเงินทุนให้ดี รวมทั้งสามารถบริหารจัดการโครงสร้างเงินทุนเพื่อไม่ให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนสูงมากจนเกินไปด้วยเช่นกัน

MINT ก่อตั้งในปี 2521 โดย Mr. William Ellwood Heinecke โดยดำเนินธุรกิจหลัก 3 ประเภท ได้แก่ 1) ธุรกิจโรงแรมและพัฒนาโครงการ 2) ธุรกิจอาหารบริการด่วน และ 3) ธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้า ในปี 2555 รายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจอาหารบริการด่วนและธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 37.8% และ 37.0% ของรายได้รวม ตามลำดับ ในขณะที่ธุรกิจจัดจำหน่ายและธุรกิจที่อยู่อาศัยสร้างรายได้คิดเป็น 10.5% และ 9.3% ของรายได้รวม ตามลำดับ

ณ เดือนมีนาคม 2556 โรงแรมภายใต้การบริหารของบริษัทประกอบด้วยโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ 17 แห่ง (2,571 ห้อง) โรงแรมภายใต้การร่วมทุน 13 แห่ง (733 ห้อง) โรงแรมภายใต้สัญญาบริหารโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ 38 แห่ง (5,176 ห้อง) และโรงแรมภายใต้การรับจ้างบริหารจัดการ 16 แห่ง (2,126 ห้อง) โดยโรงแรมของบริษัทตั้งอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำใน 9 ประเทศซึ่งครอบคลุมภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาฟริกาใต้ และตะวันออกกลาง บริษัทบริหารและดำเนินงานโรงแรมเหล่านี้ภายใต้เครือโรงแรมที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก เช่น Four Seasons, Marriott และ St. Regis และภายใต้เครือโรงแรมของบริษัทเองคือ Anantara, Oaks, Elewana, Naladhu และ Avani

สำหรับธุรกิจอาหารบริการด่วนนั้น บริษัทดำเนินกิจการผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MFG) ซึ่งก่อตั้งในปี 2523 MFG เป็นผู้ดำเนินธุรกิจอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเป็นเจ้าของและผู้ประกอบการแบบแฟรนไชส์จากต่างประเทศจำนวน 4 แบรนด์ ได้แก่ “สเวนเซ่นส์" “ซิซซ์เล่อร์" “แดรี่ ควีน" และ “เบอร์เกอร์ คิง" แบรนด์สินค้าของบริษัทเอง ได้แก่ “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี" “เดอะค็อฟฟีคลับ" “ไทยเอ็กเพรส" และ “Beijing Riverside and Courtyard (Riverside)" ซึ่งบริษัทเพิ่งซื้อกิจการมาเมื่อเดือนมีนาคม 2556 MFG มีร้านอาหารเปิดให้บริการรวม 759 แห่ง ตลอดจนร้านแฟรนไชส์และแฟรนไชส์ย่อยอีกประมาณ 647 แห่งในกว่า 15 ประเทศ

นอกจากนี้ บมจ.ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น (MINOR) ยังเป็นบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งของบริษัทซึ่งดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และโรงงานรับจ้างผลิตสินค้าด้วย โดยมีแบรนด์สินค้าที่สำคัญ อาทิ Esprit, Gap, Bossini, Charles & Keith, Red Earth ฯลฯ

ในปี 2555 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 31,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2554 โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการเติบโตของรายได้ในทุกส่วนธุรกิจของ MINT รายได้ในส่วนของธุรกิจโรงแรม รวมถึงธุรกิจสปา และธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมเติบโตขึ้น 40% ในปี 2555 เป็น 12,261 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 8,763 ล้านบาทในปี 2554 การเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรมมีสาเหตุมาจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังจากเผชิญกับภาวะไม่ปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

การรวมผลการดำเนินงานของ Oaks เข้ามาในงบการเงินเต็มปีของบริษัทหลังจากซื้อกิจการมาในปี 2554 เป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจโรงแรม

ธุรกิจอาหารบริการด่วนยังคงมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2554 ธุรกิจอาหารบริการด่วนมีรายได้ 12,266 ล้านบาท เพิ่มขี้น 11% จากปีก่อน ส่วนธุรกิจจัดจำหน่ายนั้นมีรายได้เพิ่มขี้น 13% เป็น 3,294 ล้านบาทในปี 2554 แม้จะมีการยกเลิกการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอางจำนวน 3 แบรนด์ และการผลิตในส่วนของโรงงานรับจ้างผลิตจะประสบปัญหาจากน้ำท่วมก็ตาม ทั้งนี้ โรงงานรับจ้างผลิตเพิ่งกลับมาทำการผลิตได้เต็มประสิทธิภาพในเดือนมิถุนายน 2555

กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงถึง 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 7,132 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้จากการขาย อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทโดยรวมนั้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 15.5% ในปี 2554 เป็น 17.3% ในปี 2555

สำหรับไตรมาสแรกของปี 2556 แนวโน้มการเติบโตของบริษัทยังคงมีต่อเนื่องในทุก ๆ ธุรกิจ โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 8,926 ล้านบาท ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 14% เป็น 2,585 ล้านบาท การเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากการที่ไตรมาสแรกเป็นช่วงผลประกอบการที่ดีที่สุดของธุรกิจโรงแรม รวมทั้งธุรกิจอาหารในประเทศจีนที่ไม่ประสบผลขาดทุนอีกหลังจากซื้อกิจการ Riverside

ในส่วนของฐานะการเงินของบริษัท ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 14,368 ล้านบาทในปี 2553 มาอยู่ที่ 23,801 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 โดยเป็นผลจากนโยบายเน้นการเติบโตและลงทุนเชิงรุกของบริษัท อย่างไรก็ตาม ผลลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้สิทธิ์ในใบสำคัญแสดงสิทธ์ในไตรมาสแรกของปีส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจาก 59.1% ในปี 2554 เป็น 51.9% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 สภาพคล่องของบริษัทเมื่อวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับเพิ่มขึ้นจาก 5.4 เท่าในปี 2554 มาอยู่ที่ 8.9 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2556 อัตราส่วนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อหนี้สินอยู่ที่ 20.9% ในปี 2555 และปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 เป็น 7.3% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี)

จากกลยุทธ์การเติบโตเชิงรุกของบริษัททำให้คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีการลงทุนเกิดขึ้นมากกว่า 28,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากบริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เติบโตขึ้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะใช้เงินทุนภายในมาสนับสนุนการลงทุน อย่างไรก็ดี การลงทุนบางส่วนยังคงต้องมีการก่อหนี้จำนวนมากด้วย ดังนั้นคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ