"มอง timing ในการเข้าตลาดตอนนี้อาจจะสู้ช่วงต้นปีไม่ได้แต่ถ้าเทียบกับหลายปีที่ผ่านมาถือว่ายังดูอยู่มาก ไม่อยากให้นักลงทุนมองว่าหุ้น IPO จะไม่ดี แต่อยากให้ดูที่เนื้อในของแต่ละบริษัทที่เข้ามาระดมทุน หากการเมืองรุนแรงก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการเข้าเทรดวันแรกแน่นอนเพราะหุ้นน้อยมาก"นายเอกพิทยา กล่าว
นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก กรรมการผู้จัดการใหญ่ AUCT กล่าวว่า การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อต้องการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งรองรับการแข่งขันในตลาดประมูลรถที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมถึงการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในปี 58 โดยเฉพาะการทำธุรกิจกับต่างประเทศจะมีความสะดวกมากขึ้นหากมีฐานะเป็นบริษัทมหาชน
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10-20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 352 ล้านบาท ขณะที่กำไรจะเติบโตต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีแนวโน้มรถยึดจากไฟแนนซ์เพิ่มขึ้น บริษัทจึงจะเร่งเปิดประมูลขายทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์มือสองในวันอาทิตย์ที่สำนักงานใหญ่ รองรับความต้องการซื้อในช่วงที่ราคาขายจากการประมูลทั้งรถเก๋งและกระบะปรับลดลงต่อเนื่อง
ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาราคารถยนต์มือสองที่ซื้อ-ขายผ่านการประมูลปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเฉลี่ยรถยนต์นั่งลดลง 16.5% เนื่องจากมีสินค้าออกสู่ตลาดมากขึ้นจากโครงการรถยนต์คันแรก นอกจากนี้แล้วการที่สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มาก มีส่วนทำให้ปีนี้จำนวนรถยึดจากไฟแนนซ์จะเพิ่มจำนวนขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็กประเภท 1500cc ลงมา
ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้รถยนต์เข้าสู่ตลาดรถมือสองมากขึ้น เพื่อเป็นการรองรับสถานการณ์ดังกล่าวสหการประมูลได้พัฒนาพื้นที่จอดรถเพิ่มขึ้นอีก 14 ไร่ เพื่อให้เพียงพอกับการเพิ่มขึ้นของรถยนต์มือสอง นอกจากนี้แล้วยังได้เพิ่มรอบประมูลในวันอาทิตย์ที่สำนักงานใหญ่และวันเสาร์ที่สาขารังสิต-คลอง 8 จากเดิมลูกค้าที่ต้องการประมูลซื้อในวันอาทิตย์จะต้องไปที่สาขารังสิต-คลอง 8 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสามารถมาประมูลซื้อได้ทั้ง 2 แห่ง
การเพิ่มวันเปิดประมูลดังกล่าวทำให้การประมูลซื้อ-ขายรถยนต์ที่สำนักงานใหญ่มีทั้งหมด 4 วัน คือ วันอังคาร พฤหัสบดี เสาร์และวันอาทิตย์ ส่วนการประมูลที่สาขารังสิต-คลอง 8 นั้นจัดขึ้นในวันพุธ ศุกร์ เสาร์และวันอาทิตย์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับความต้องการซื้อของลูกค้าที่คาดว่าจะใช้โอกาสช่วงระดับราคาอ่อนตัวลงประมูลซื้อรถยนต์มือสอง เนื่องจากราคารถยนต์ขนาด 1300-1500cc (ปี 2006-2008) อยู่ในระดับราคาคันละ 257,600—295,780 บาท และรถยนต์ 1600-2000 cc (ปี 2006-2008) อยู่ที่คันละ 370,500—399,650 บาท
ทั้งนี้ ราคาประมูลเฉลี่ยรถกระบะเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอยู่ที่คันละ 286,390 บาท โดยราคาปรับตัวลด 12% ต่อเนื่อง 2 เดือน ทั้งนี้ ราคาประมูลเฉลี่ยกระบะ Single Cab ปรับตัวลดลง 10.4% ขณะที่ราคาประมูลเฉลี่ยกระบะ Club Cab ปรับตัวลดลง 7.2 % และ Double Cab ปรับตัวลดลง 11.9 % เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อตลาดประมูลคือข่าวลือการยกเลิกนโยบายรับจำนำข้าว อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) มีมติให้คงราคารับจำนำข้าวเปลือกที่ตันละ 15,000 บาท ประกอบกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประเมินผลผลิตข้าวเปลือกปี 56-57 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี คือเพิ่มขึ้น 7 % สหการประมูลคาดการณ์ว่าตลาดประมูลรถกระบะมือสองน่าจะเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงปลายปีนี้
ส่วนสถานการณ์ตลาดประมูลจักรยานยนต์นั้นราคาเฉลี่ยของสหการประมูลอยู่ที่คันละ 20,027 บาท ปรับตัวลดลง 1.5 % เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงหลังฟื้นตัวจากกำลังซื้อในช่วงฤดูเปิดเทอมของนักเรียนและนักศึกษาในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สหการประมูลคาดการณ์ว่าตลาดประมูลอาจจะชะลอตัวลงอีกครั้งจากปัจจัยผลกระทบทางฤดูกาลหน้าฝน ประกอบกับอุปทานรถยึดจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ยังมีเหลือจำนวนมาก ทั้งนี้ แนะนำให้ประมูลซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลง กล่าวคือรถประเภท Moped ที่ระดับราคาคันละ 20,000—21,115 บาท และ Automatic อยู่ที่คันละ 19,000 — 20,000 บาท