อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่มีกำไรสุทธิ 2.66 พันล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มราคาไก่เนื้อและเนื้อสุกรในประเทศเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะปกติ หลังจากสถานการณ์ราคาได้ผ่านจุดต่ำสุดและกำลังปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง
ส่วนภาวะกุ้งในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าผู้เลี้ยงน่าจะเริ่มทยอยกลับมาเลี้ยงได้อีกครั้งหลังจากที่เคยประสบภาวะโรค EMS ในกุ้ง โดยคาดว่าจะเห็นการเลี้ยงกุ้งกลับมาอย่างชัดเจนภายในไตรมาส 4/56 นี้
อีกทั้ง ค่าเงินบาทในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ช่วยให้กระตุ้นการส่งออกของบริษัทดีขึ้น ทำให้บริษัทมีรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้น ทั้งหมดถือเป็นสัญญาณที่ดี แม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศจะชะลอตัวลง และการเมืองไม่เห็นความขัดแย้งรุนแรง แต่ก็ยังจำเป็นต้องบริโภคอยู่ในชีวิตประจำวัน
"ยอมรับว่าที่ผ่านมาผลการดำเนินงานไม่เป็นตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ และกำไรในปีนี้ก็คงต่ำกว่าปีก่อน เนื่องจากมีการบันทึกกำไรพิเศษเข้ามาในปีที่แล้ว แต่แนวโน้มสถานการณ์ทั้งราคาเนื้อสัตว์และเรื่องกุ้งในครึ่งปีหลังจะเริ่มกลับมาดีขึ้น ก็ทำให้มั่นใจว่ายอดขายและกำไรในครึ่งปีหลังจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก"นายอดิเรก กล่าว
นายอดิเรก กล่ววว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในช่วง 5 ปี(ปี 56-60) ข้างหน้าจะแตะระดับ 7 แสนล้านบาท และตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 56-60) จำนวน 5 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยลงทุนปีละ 1 หมื่นล้านบาท โดยงบลงทุนส่วนหนึ่งจะนำไปซื้อกิจการเพื่อให้ธุรกิจมีการเติบโตได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
"ที่ผ่านมาเราโตช้า การซื้อกิจการจะทำให้เรามีการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเราต้องการขยายฐานออกไปในต่างประเทศที่มองว่ามีศักยภาพในการเติบโต อย่างเช่น จีน อินเดีย เวียดนาม"นายอดิเรก กล่าว
บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการเกี่ยวกับธุรกิจอาหารในยุโรป ซึ่งเป็นดีลขนาดไม่ใหญ่นัก คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปี 56 ส่วนการขยายธุรกิจในต่างประเทศจะเป็นการขยายไลน์การผลิตทั้งอาหารสำหรับคนและอาหารสัตว์ โดยในรัสเซียบริษัทเข้าไปลงทุนกิจการฟาร์มสุกรของชาวเดนมาร์กในประเทศรัสเซีย ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อย คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ รวมทั้งการประกาศลงทุนซีพี เมจิ 60% ด้วย