สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 3.9 ปี) LB155A (อายุ 1.8 ปี) และ LB196A (อายุ 5.8 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 19,747 ล้านบาท 6,575 ล้านบาท และ 4,707 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13827A (อายุ 14 วัน) CB13905C (อายุ 28 วัน) และ CB13N07B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 42,076 ล้านบาท 31,937 ล้านบาท และ 25,144 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) รุ่น BAY142B (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 556 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) รุ่น IRPC147A (A-) มูลค่าการซื้อขาย 408 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น MBTH157A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 320 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงตลอดทั้งเส้น ในช่วงประมาณ -1 ถึง -10 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) ภายหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ออกมาแสดงทีท่าว่าจะดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) พร้อมกับคงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้อยู่ในกรอบ 0 - 0.25% ต่อไป ประกอบกับการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคม ที่ขยายตัวในระดับที่ต่ำกว่าการคาดกาณ์ของนักวิเคราะห์ และต่ำกว่าตัวเลขในเดือนมิถุนายน ทำให้นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) น่าจะยังไม่ทำการปรับลดขนาดของมาตรการ QE ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเริ่มกลับมาปรับตัวดีขึ้น และทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (Yield) ปรับตัวลดลง (ราคาพันธบัตรเพิ่มสูงขึ้น) ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาวอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 — 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงลงทุนอย่างระมัดระวัง และเฝ้าติดตามการประชุมของ FOMC ครั้งถัดไป (17 — 18 ก.ย.) ว่าจะมีความชัดเจนใหม่ๆ เกี่ยวกับการปรับขนาดของมาตรการ QE หรือไม่
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ขายสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 1,253 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 3,445 ล้านบาท แต่กลับซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 2,192 ล้านบาท