ประกอบกับ จะลงทุนใน R&D จำนวน 40 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 85% โดยเน้นการพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่และโมเดลใหม่ๆ เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นราว 50% พร้อมทั้งลงทุนในแม่พิมพ์เพิ่มขึ้นอีก 100 ล้านบาท จากที่ลงทุนไปแล้ว 50 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรก แบ่งเป็นแม่พิมพ์ของรถยนต์ค่ายเกาหลีประมาณ 40 ล้านบาท แม่พิมพ์รถยนต์ค่ายญี่ปุ่น 40 ล้านบาท และแม่พิมพ์สำหรับอุปกรณ์ตกแต่งอีก 20 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้ยอดขายและกำไรในปีนี้เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 16%
นายสมพล กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทฯ มีคำสั่งซื้อ 292 ล้านบาทจากค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ได้แก่ มิตซูบิชิ และโตโยต้า รวมถึงออร์เดอร์จัดทำแผ่นโลโก้รถยนต์จากค่ายซูซุกิด้วย เป็นสัญญาระยะยาวประมาณ 10 ปีที่จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มที่ในปี 57 นอกจากนั้น ยังมีการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ไปยังประเทศโอมานด้วย
สำหรับรายได้ของบริษัทฯ โดยหลักมาจากสินค้าที่ผลิตขึ้นเอง และซื้อมาขายไป ซึ่งปัจจุบันมีพันธมิตรทางการค้ากว่า 60 รายในประเทศ ทำให้มีสินค้าที่จะป้อนให้กับลูกค้าได้กว่า 50,000 รายการ ในลักษณะ One Stop Service สำหรับสินค้าอะไหล่รถยนต์ และขณะนี้บริษัทฯสามารถผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปต่างประเทศกว่า 115 ประเทศทั่วโลก
"รายได้หลัก FPI จะเน้นการส่งออกตลาดต่างประเทศ โดยใน 6 เดือนแรกมีสัดส่วนการส่งออกไปต่างประเทศ 87.70% และในประเทศ 12.30% ซึ่งสินค้าหลักจะเน้นพวกอะไหล่ทดแทน ทั้งนี้สินค้าที่ผลิตเองมีสัดส่วนอยู่ที่ 72.49% อย่างไรก็ตาม การเน้นลงทุนสินค้ากลุ่มดังกล่าว สามารถบริหารต้นทุนได้ดีและมีมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าค่อนข้างมาก"นายสมพล กล่าว
ส่วนภาพรวมตลาดรถยนต์ประเทศไทยในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3-5% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.48 ล้านคัน โดยสถานการณ์การส่งออกอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในครึ่งปีแรกมีมูลค่า 5,948.15 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.02% ขณะที่ FPI มียอดขายช่วงครึ่งปีแรกมูลค่า 839.58 ล้านบาท เนื่องจากมีการลงทุนในแม่พิมพ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาด AEC และรถยนต์จากค่ายเกาหลีเพิ่มขี้น ทำให้เจาะตลาดใหม่ๆได้มากขึ้น และขยายสายการผลิตให้กับลูกค้ากลุ่มเดิมที่มีอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/56 บริษัทฯ มีรายได้รวม 442.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.03% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 47.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน ขณะที่ 6 เดือนแรกมีรายได้รวม 839.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน และกำไรสุทธิ 88.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน เป็นผลมาจากการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในช่วงกลางเดือนพ.ค.ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 50% และสามารถลดต้นทุนได้ถึง 22.99% ซึ่งทำสถิติสูงสุดในเดือนมิ.ย.กว่า 30.93 ล้านบาท