บริษัทมีแผนจะจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(Real Estate Investment Trusts:REIT)ขนาด 2.1 พันล้านบาทภายในไตรมาส 1/57 ก่อนจะขยายขนาดกองทุนเป็น 2 หมื่นล้านบาทภายใน 2 ปี และยังมีแผนส่งบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(SET) ในช่วงต้นปีหรือกลางปี 57
"ปีนี้รายได้ใกล้ 5 พันล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิปีนี้มากกว่า 1 พันล้านบาทดีกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรกว่า 500 ล้านบาท ...ครึ่งปีหลังเราก็จะรับรู้คอนโดฯตั้งแต่เดือนหน้า (ก.ย.)ทยอยรับรู้ ปีนี้รับรู้ 1,400 ล้านบาท ไตรมาส 3 นี้ก็มีกำไรให้เห็นแล้ว จากนี้ไปทุกๆไตรมาสก็ดีขึ้นไปเรื่อยๆ" นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหาร TFD กล่าว
ในไตรมาส 3/56 บริษัทจะรับรู้รายได้จากการขายทรัพย์สินของบริษัทและบริษัทย่อยเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเอ็มเอฟซี อินดัสเตรียล อินเวสเมนท์ (M II) จำนวน 750 ล้านบาท และรับรู้กำไรจำนวน 290 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัท วี เอส เอส แอล เอ็น เตอร์ไรส์ส จำกัดซึ่งเป็นบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะรับรู้รายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม 15 สุขุมวิท มูลค่า 3,300 ล้านบาทซึ่งมียอดขาย 80% แล้ว และทยอยรับรู้ในปีนี้ 1,400 ล้านบาท ที่เหลือของโครงการจะทยอยรับรู้ในปี 57 โดยโครงการ มีอัตรากำไรสุทธิ 25%
ทำให้ในไตรมาส 3/56 จะพลิกมีกำไรจากไตรมาส 2/56 ขาดทุน 27 ล้านบาท หลังการขายทรัพยสินเข้ากองทุน M II ล่าช้า และคาดว่าในไตรมาส 4/56 จะมีกำไรสูงขึ้นมากจากการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมเป็นส่วนใหญ่ และจากการขายที่ดินเปล่าในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี ย่านบางนา-ตราด ประมาณ 100 ไร่ๆละ 9 ล้านบาท(จากต้นทุนประมาณ 3 ล้านบาท/ไร่) รวมเป็น 900 ล้านบาท ซึ่งได้ปรับเป็นพื้นที่สีม่วงที่โรงงานอุตสาหกรรมเข้าประกอบกิจการได้ทุกประเภท จากทั้งหมดที่มีอยู่ 1,000 ไร่
ในปี 57 คาดว่ารายได้จะไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาท จะมาจากการขายที่ดินในนิคมฯ ประมาณ 100 ไร่ การโอนของโครงการคอนโดมิเนียมส่วนที่เหลือประมาณ 1,900 ล้านบาท และการทรัพย์สินเข้ากอง REIT มูลค่า 2.1 พันล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนจัดตั้งกอง REIT โดยจะนำอาคารคลังสินค้าและโรงงานสำเร็จรูป รวมประมาณ 1 แสนตร.ม. ขายเข้ากอง REIT ประมาณ 70,000 ตร.ม. มูลค่าประมาณ 2.1 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือ 30,000 ตร.ม.จะไว้เป็นทรัพย์สินของบริษัทเป็นรายได้ประจำจากค่าเช่า โดยช่วงนี้ได้เริ่มก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ คาดว่าจะจัดตั้งกอง REIT ได้ประมาณต้นปี 57 และบริษัทมีแผนจะสร้างเพิ่มขึ้นทุกปีไม่น้อยกว่าปีละ 30% และขายเข้ากอง REIT ขณะเดียวกันจะหาซื้อทรัพย์สินคลังสินค้าในต่างประเทศเข้าบริหารในกอง REIT นี้โดยมีเป้าหมายจะเพิ่มขนาดสินทรัพย์ไปถึง 2 หมื่นล้านบาทภายใน 2 ปีนี้
นอกจากนี้ บริษัท ทีเอฟดี โลจิสติกส์และแวร์เฮ้าส์ จำกัด (เปลี่ยนชื่อจาก บริษัท โทเทิ้ลอินดัสเตรียล เซอร์วิสเซส จำกัด) ซึ่ง TFD ถือ 100% จะดำเนินการก่อสร้งอาคารคลังสินค้าและโรงงานสำเร็จรูปดังกล่าว และ TFD จะนำบริษัท เอฟดี โลจิสติกส์และแวร์เฮ้าส์ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(SET) ประมาณต้นปีหรือกลางปี 57 เพื่อระดมทุนใช้ในการก่อสร้างคลังสินค้าและโรงงานสำเร็จรูป ปัจจุบันบริษัทย่อยดังกล่าวได้เพิ่มทุนเป็น 300 ล้านบาทจาก 100 ล้านบาทแล้วโดยปี 55-56 ทำกำไรปีละประมาณ 100 ล้านบาท/ปี ทั้งนี้ TFD จะให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิมของ TFD ซื้อหุ้น IPO ได้ตามสัดส่วน
นายอภิชัย กล่าวว่า บริษัทได้วางกลยุทธ์ ที่จะกระจายคลังสินค้าไปตามหัวเมืองในต่างจังหวัดสำคัญได้แก่ นครราชสีมา นครสวรรค์ เป็นต้น ซึ่งจะสำรวจความต้องการของผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก วัสดุก่อสร้าง ซึ่งบริษัทก็จะสร้างความต้องการของผู้ประกอบการ ขณะเดียวกันบริษัทชะลอการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม เพราะเห็นว่าต้นทุนที่ดินปัจจุบันสูงมาก และยังต้องใช้เวลาก่อสร้างนานเมื่อเทียบกับการสร้างคลังสินค้าและโรงงานสำเร็จรูป
"ผมเชื่อว่า โลจิสติกส์จะขยายไปเรื่อยๆ เมื่อมี AEC ความต้องการยิ่งมีมากขึ้น น่าจะเป็นธุรกิจที่ดี ส่วนอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนสูง ถ้ามีวิกฤตเศรษฐกิจก็รับผลกระทบก่อน แต่โลจิสติกส์ รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจน้อยมาก" นายอภิชัย กล่าว
อย่างไรก็ดี บริษัทก็ยังมีที่ดิน 2 แปลงสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยแห่งแรกอยู่ที่เขาเต่า อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ อยู่ระหว่างก่อสร้างเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 2 ตึกๆละ 27 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 3.5-3.8 พันล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 59 ส่วนอีกแปลงอยู่ซอยมหาดเล็กหลวง พื้นที่ 2 ไร่ คาดจะนำไปสร้างโครงการคอนโดมิเนียม 43 ชั้น แต่หากขายได้ราคาดีก็จะขายออกไป