ตลท.ให้ M เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 15 ส.ค. นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 13, 2013 18:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ. เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป (M) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2556 นี้

M ดำเนินธุรกิจร้านอาหารประเภทสุกี้ยากี้ภายใต้เครื่องหมายการค้า เอ็ม เค มากว่า 27 ปี ปัจจุบัน มีสาขาในประเทศรวม 460 สาขา ได้แก่ ร้านเอ็ม เค สุกี้ 359 สาขา ร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ 95 สาขา รวมถึงร้านอาหารญี่ปุ่น ฮากาตะ และเท็นจิน ร้านอาหารไทยเลอ สยาม และ ณ สยาม และร้านกาแฟ/เบเกอรี่ เลอเพอทิท นอกจากนี้ยังมีร้าน เอ็มเค สุกี้ และร้านอาหารญี่ปุ่น ยาโยอิ ในประเทศญี่ปุ่น เวียดนาม และสิงคโปร์ รวม 44 สาขา

M มีทุนชำระแล้ว 905.85 ล้านบาท มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 720 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 185.85 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 5-7 สิงหาคม 2556 ในราคาหุ้นละ 49 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนทั้งสิ้น 9,106.65 ล้านบาท โดยมีบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บล.เอเซีย พลัส บล.ภัทร และบล.บัวหลวง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M เปิดเผยว่า "รู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทได้นำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งนับเป็นอีกก้าวที่สำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ ชื่อเสียงความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน และเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้กับบริษัท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้ไปชำระค่าก่อสร้างโรงงานครัวกลางแห่งใหม่ บนถนนบางนา ซึ่งจะช่วยให้สามารถรองรับการขยายสาขาได้อีกเท่าตัว คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้ และใช้ชำระเงินกู้ยืมค่าก่อสร้างสำนักงานแห่งใหม่ บางส่วนใช้เพื่อขยายสาขา และสำรองไว้เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต"

หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ M 3 รายแรกได้แก่ นางยุพิน และนายฤทธิ์ ธีระโกเมน ถือหุ้น 37.4% นายสมชาย หาญจิตต์เกษม ถือหุ้น 18.1% และนายสมนึก หาญจิตต์เกษม ถือหุ้น 18.1% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 49 บาทต่อหุ้น พิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) ที่ 22.2 เท่า ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิปี 2555 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญภายหลังการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ 925.85 ล้านหุ้น (รวมการใช้สิทธิแปลงสภาพของใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จัดสรรให้ผู้บริหารและพนักงาน) เท่ากับ 0.22 บาท โดย P/E ratio ของผู้ประกอบการอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ 34 เท่า (ระหว่างวันที่ 27 มิถุนายน - 28 กรกฎาคม 2556) ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมาย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ