บริษัทยังมีแผนขายโครงการเซ็นเตอร์ พอยท์ สีลม เข้าเป็นสินทรัพย์กองทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 57 คาดว่าจะมีมูลค่าราว 500-550 ล้านบาท และเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้วงเงินราว 4 พันล้านบาทในปีหน้าเพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน
นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ QH เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับแผนการเปิดปรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้เป็น 21 โครงการ มูลค่า 2.13 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่เปิด 20 โครงการ มูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท และวางแผนเบื้องต้นที่จะเปิดโครงการใหม่ในปี 57 เพิ่มอีก 15 โครงการ มูลค่าราว 1.11 หมื่นล้านบาท รวมโครงการในปีนี้และปีหน้าทั้งหมด 36 โครงการ มูลค่ารวมราว 3.34 หมื่นล้านบาท
ส่วนงบสำหรับการซื้อที่ดินในปีตั้งไว้ที่ 3 พันล้านบาท ใช้ไปแล้วในครึ่งปีแรก 2 พันล้านบาท เหลืออีก 1 พันล้านบาทจะนำไปซื้อที่ดินเพิ่มเติม
แนวโน้มในครึ่งปีหลังรายได้จะสูงกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้อยู่ที่ 1.01 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากการโอนโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมราว 8.8 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทมียอด Backlog ที่จะทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 58 อยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังราว 3.7 พันล้านบาท ปี 57 อีก 3.3 พันล้านบาท และปี 58 อีกประมาณ 3.5 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 16% จากปีก่อนอยู่ที่ 10% เนื่องจากการปรับราคาขายโครงการเพิ่มขึ้น ซึ่งตั้งแต่ต้นปีปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว 8% เพื่อให้สอดคล้องกับราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับ การทยอยรับรู้รายได้โครงการคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิให้สูงขึ้นด้วย ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็นกว่า 32% จากปีก่อนอยู่ที่ 31% สำหรับสัดส่วนรายได้ในอนาคตภายใน 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทจะมีการเพิ่มสัดส่วนรายได้ของบ้านราคาระดับล่างในแบรนด์กัสโต้และทรัสต์ ซึ่งคาดว่าสัดส่วนรายได้ในกลุ่มนี้จะเพิ่มเป็น 35-40% จากปัจจุบันอยู่ที่ 28% เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการกลุ่มบ้านราคาระดับล่างค่อนข้างมาก ทำให้เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปเน้นกลุ่มลูกค้าดังกล่าว และเทคโนโลยีการสร้างบ้านของบริษัทในปัจจุบันมีความเหมาะสมกับบ้านราคาระดับกลาง-ล่าง เพราะสามารถก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทสามารถโอนบ้านให้กับลูกค้าและรับีรู้รายได้ได้รวดเร็วกว่าบ้านราคาระดับบน
ด้านนางสุวรรณา พุทธประสา กรรมการ รองกรรมการ QH เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการยื่นไฟลิ่งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)เพื่อจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์กองใหม่ โดยจะขายโครงการเซ็นเตอร์พอยท์ สีลม เป็นสินทรัพย์ของกองทุนฯ มูลค่าโครงการราว 500-550 ล้านบาท คาดว่า ก.ล.ต.จะอนุมัติภายในสิ้นปีนี้ และจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนได้ในปี 57
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในไตรมาส 1/57 ถึงไตรมาส 2/57 วงเงินราว 4 พันล้านบาท โดยบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะออกครั้งเดียวหรือทยอยออก เบื้องต้นคาดว่าอาจจะออกหุ้นกู้ภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปี 57
นายรัตน์ กล่าวว่า สำหรับหุ้น บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์(HMPRO)ที่บริษัทถืออยู่นั้นอาจจะพิจารณาขายหากได้ราคาดี แต่มองว่าราคาที่ 18 บาท/หุ้นยังต่ำเกินไป ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจเข้ามาติดต่อขอซื้อหุ้น HMPRO บ้างแล้ว
"เราสนใจจะขายหุ้น HMPRO เมื่อมีคนมาเสอนราคาที่ดี แบบว่าน้ำลายไม่หกก็ไม่ขาย แต่ก็มีคนอื่นสนใจเข้ามาติดต่อขอซื้อเหมือนกัน แต่ไม่ใช่บริษัทปูนใหญ่หรือห้างแฮร์รอดที่อังกฤษตามกระแสข่าวลือออกมา ตอนนี้โฮมโปรก็ยังเป็นธุรกิจที่มีการเติบโต สามารถสร้างรายได้เสริมให้กับบริษัทอีกทาง ถ้าเสนอขายจริงๆราคาต้องโอเค ราคา 18 บาท/หุ้นก็ยังถือว่าถูกไป"นายรัตน์ กล่าว