กองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในหุ้นจดทะเบียนของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งมีนโยบายคัดเลือกหุ้น โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนเป็นหลัก เน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีในภูมิภาคยุโรปที่มีแนวโน้ม และศักยภาพการเติบโตสูง(Growth Stock) รวมทั้งเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทข้ามชาติ เพื่อกระจายความเสี่ยงในสภาวะเศรษฐกิจภายในยุโรปมีการชะลอตัว โดยผลตอบแทนของกองทุนหลักเฉลี่ยต่อปีย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 12.42% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 3.62% อีกทั้งยังเป็นกองทุนที่ได้รับรางวัล การันตีจากสถาบันชั้นนำมากมาย อาทิ LIPPER , SAUREN FONDS, MORNING STAR และเป็นกองทุนที่ได้รับรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมอันดับ 1 ในยุโรป
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในอนาคต บลจ.กสิกรไทย มองว่า ในสภาวการณ์เช่นนี้น่าจะเป็นโอกาสในการกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปอีกครั้ง เพราะในปีหน้าเศรษฐกิจยุโรปน่าจะมีแนวโน้มที่เป็นบวกมากขึ้น แม้จะเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบช้าๆ แต่เชื่อว่าจะเป็นไปในทิศทางบวกที่มีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง และในส่วนของตลาดหุ้นเอง ก็นับว่าเป็นจังหวะที่ดี เพราะราคาหุ้นของตลาดยุโรป ณ ขณะนี้ อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในระยะยาว โดย ณ เดือนมิถุนายน มีดัชนี MSCI Europe ที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (Forward Price / Earnings Ratio หรือ P/E) ประมาณ 12 เท่า ขณะที่ค่าเฉลี่ย 10 ปีอยู่ที่ประมาณ 13.9 เท่า จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุน
นายจงรัก กล่าวว่า ที่ผ่านมาแม้ว่าประเทศในกลุ่มยูโรโซนจะยังไม่มีการส่งสัญญาณให้เห็นชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เหมือนกับประเทศอื่นๆ แต่หากมองภาพการลงทุนในระยะยาว ตลาดกลุ่มยูโรโซนนับว่าเป็นตลาดหนึ่งที่น่าจับตามอง เพราะเศรษฐกิจยุโรปได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว จากนี้ไปน่าจะเป็นช่วงของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยปัจจัยที่ช่วยให้เศรษฐกิจยุโรปสามารถกลับมามีเสถียรภาพได้อีกครั้ง น่าจะเป็นผลมาจากตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรโซนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บวกกับการที่ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank หรือ ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ระดับต่ำสุดที่ระดับ 0.50% ในเดือนพฤษภาคม 2556 พร้อมกับแนวโน้มที่จะยังคงรักษาระดับต่ำสุดเช่นนี้ต่อไป ส่วนตัวเลขการว่างงานที่มีปริมาณลดลง ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ดีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุโรปไปในทิศทางบวก