สำหรับหุ้นกู้ของบริษัทฯ ที่เสนอขายในครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ในระดับ ‘BBB’ (Triple B Straight) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทฯ ที่ระดับ BBB+ (Triple B Plus)
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถในการเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย รวมทั้งการดำรงสถานะการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดย ณ เดือนสิงหาคม 2556 บริษัทมีจำนวนโครงการที่เปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนาทั้งสิ้น 110 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 137,734 ล้านบาท รวมทั้งมียอดขายรวมในปีที่ผ่านมารวมทั้งสิ้นสูงถึง 42,600 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและการมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่งเป็นสำคัญ มียอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจรวมถึงยอดขายที่รอการส่งมอบอีกในปริมาณมาก โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้าแล้วถึง 62,000 ล้านบาท
“การนำเสนอหุ้นกู้ของบริษัทในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน หลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จจากการเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากหุ้นกู้ที่บริษัทนำเสนอนั้นให้อัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจ และเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น การนำเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้จึงนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก" นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SIRI กล่าว
นายเศรษฐา กล่าวว่า เงินทุนที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นกู้ครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจในปี 2556 และ 2557 นอกเหนือจากการพึ่งพาวงเงินกู้จากธนาคาร เพื่อให้เป็นไปตามแผนการดำเนินธุรกิจในการรุกพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบรับทุกความต้องการที่อยู่อาศัย และครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า รวมทั้งขยายการพัฒนาโครงการสำหรับรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างจังหวัด รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นมากขึ้นอีก โดยบริษัทจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อีกจำนวน 23 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 26,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง โดยแบ่งมูลค่าการพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและต่างจังหวัดในสัดส่วน 60% : 40%
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 บริษัทประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจทั้งโครงการคอนโดมิเนียมในย่านธุรกิจกลางใจเมือง อาทิ โครงการ ‘EDGE Sukhumvit 23’ (เอดจ์ สุขุมวิท23) รวมทั้งโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ THE BASE (เดอะ เบส) และ dcondo (ดีคอนโด) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการชูทั้ง 2 แบรนด์หลักเป็นหัวหอกในการรุกขยายฐานธุรกิจในตลาดต่างจังหวัดได้เพิ่มมากขึ้น หรือคิดเป็นประมาณถึง 40% จากยอดขายรวม 29,000 ล้านบาทที่สามารถทำได้ในครึ่งปีแรก ซึ่งทำให้เชื่อมั่นว่าในปีนี้กลุ่มบริษัทแสนสิริจะสามารถสร้างยอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัยได้ตามเป้าหมายที่วางไว้