บริษัทตั้งงบลงทุนช่วง 5 ปี(56-60)ราว 3.5-4 หมื่นล้านบาท ทั้งขยายธุรกิจที่มีอยู่ และซื้อกิจการใหม่เข้ามาเพิ่ม โดยบริษัทมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศเป็น 40% นอกจากนั้น บริษัทยังศึกษาการตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)
นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ MINT เชื่อว่า กำไรสุทธิในปีนี้จะทำสถิติสูงสุดจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.4 พันล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท เติบโต 25% จากปีก่อน เป็นผลจากธุรกิจโรงแรมมีกำไรเพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากนักท่องเที่ยวเข้ามาพักโรงแรมในแบรนด์ของบริษัทเพิ่มขึ้นและการทำกิจการส่งเสริมการขายต่างๆ มีประสิทธิผล
ในปีนี้บริษัทคาดว่าอัตราการเข้าพักโรงแรมในเครือจะเพิ่มขึ้น 3-4% จากปีก่อนที่มีอัตราการเข้าพักในะดับ 69% ซึ่งจะส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (REVPAR) เพิ่มขึ้น 12-14%
ส่วนธุรกิจอาหารกำไรในครึ่งปีแรกเติบโต 21% โดยในส่วนของ Same Store Sale ปีนี้เพิ่มขึ้น 3-4% จากปีก่อน
นายชัยพัฒน์ กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจประเทศที่ชะลอตัวและปัญหาความไม่แน่นอนของการเมืองในประเทศไม่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรมและอาหารอย่างแน่นอน
“เราก็ยังมั่นใจนักท่องเที่ยวก็ยังเดินทางมาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นและแนโน้มการเข้าพักของน่องท่องเที่ยวในเครือโรงแรมของเราก็เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจอาหารเรายังดีกว่าเจ้าอื่น เพราะแบนด์ร้านอาหารของเรามีส่วนแบ่งตลาดมาก อย่างเช่น The Pizza Company ส่วนแบ่งอยู่ที่ 70% Sewensens อยู่ที่ 70-80% การชะลอตัวของเศรษฐกิจไม่กระทบแน่นอน การเมืองในประเทศเราก็มีมาตรการ Back up ไอยู่แล้ว และก็มองว่าปีนี้คงไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา"นายชัยพัฒน์ กล่าว
สำหรับแผนการลงทุนการลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 56-60)บริษัทตั้งงบลงทุนอยู่ที่ 3.5-4.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนในการขยายธุรกิจเดิม 2-2.5 หมื่นล้านบาท และเงินลงทุนสำหรับการซื้อกิจการ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท โดยการซื้อกิจการจะเน้นเป็นส่วนของธุรกิจโรงแรม ส่วนธุรกิจอาหารบริษัทตั้งเป้าขยายสาขาของธุรกิจร้านอาหารปีละ 8-10% จากปัจจุบันมีสาขาในเครือทั้งสิ้น 1,419 สาขา
นายชัยพัฒน์ กล่าวว่า บริษัทจะเน้นขยายธุรกิจไปยังตะวันออกกลางมากขึ้น เพื่อเป็นโอกาสในการกระจายรายได้ โดยล่าสุดเข้าไปซื้อกิจการของ PER AQUUM โดยบริษัทได้รับสิทธิในการบริหารโรงแรมในมัลดีฟ 2 แห่ง และโรงแรมในสหรัฐอาหรับเอมิเรต 1 แห่ง และยังได้เข้าร่วมทุนเป็นพันธมิตรกับ AL NASSER HOLDINGS เพื่อขยายธุรกิจร้านอาหารในรูปแบบเป็นเจ้าของเองและแฟรนไชส์ เพื่อรุกธุรกิจร้านอาหารในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ โดยมีแผนที่จะเปิดร้านเดอะ คอฟฟี่ คลับ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตเป็นแบรนด์แรก
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศตามแผน 5 ปี เป็น 40% จากปี 55 มีสัดส่วนรายได้จากต่าประเทศอยู่ที่ 29% และสัดส่วนกำไรจากต่างประเทศเพิ่มไม่น้อยกว่า 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 21%
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระห่างการศึกษาและพิจารณาแผนการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือกองทุน REIT ซึ่งบริษัทได้มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องและมีที่ปรึกษาทางการเงินหลายรายสนใจเข้ามาทำหน้าที่ที่ปรึกษาทางเงินให้ แต่ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนในการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว