"ในไตรมาสนี้ บริษัทจดทะเบียน mai เผชิญภาวะต้นทุนขายเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 21.93% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 19.97% นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะดอกเบี้ยจ่ายเนื่องจากมีบริษัทที่อยู่ระหว่างการขยายธุรกิจและลงทุนเพิ่ม ทำให้อัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 7.13% เหลือ 3.46% อย่างไรก็ดี บริษัทที่มีผลกำไรในงวดนี้มี 66 บริษัท หรือคิดเป็น 77% ของบริษัทใน mai ทั้งหมด"นายชนิตร กล่าว
สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 56 บริษัทจดทะเบียน mai มียอดขาย 53,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.48% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันมีกำไรสุทธิ 3,193 ล้านบาท ลดลง 4.32% อย่างไรก็ดี หากหักกำไรจากการชดเชยค่าเสียหายจากการประกันอุทกภัย 277 ล้านบาท ของ บมจ. ไทยมิตซูว่า (TMW) เมื่อปี 55 จะทำให้กำไรสุทธิครึ่งปีแรกของบริษัทจดทะเบียน mai เพิ่มขึ้น 4.35%
นอกจากนี้ พบว่ามีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai 11 บริษัทที่มียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/56 และช่วงเดียวกันของปี 55 ได้แก่ บมจ. ไอร่า แฟคตอริ่ง (AF) บมจ. เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ (APCO) บมจ. ชูไก (CRANE) บมจ. ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) บมจ. ฮอท พอท (HOTPOT) บมจ. เกียรติธนา ขนส่ง (KIAT) บมจ. โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส (PPS) บมจ. ไพลอน (PYLON) บมจ. ควอลลีเทค (QLT) บมจ. ธนาสิริ กรุ๊ป (THANA) และ บมจ. พลาสติค และหีบห่อไทย (TPAC)
ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai 88 บริษัท ณ วันที่ 19 สิงหาคม 56 ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 384.01 จุด ลดลง 7.62% จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 178,732.77 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 2,654.28 ล้านบาทต่อวัน