ทั้งนี้ บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)เพื่อจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust:REIT) แล้ว คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/56 จะสามารถจัดตั้งได้ แต่หากการจัดตั้งติดขัดขั้นตอนการออกใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่ม และอาจจะทำให้ไม่ได้รับสิทธิยกเว้นทางภาษี บริษัทก็เตรียมเผนสำรองที่จะจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์กองใหม่ ซึ่งสินทรัพย์เป็นสิทธิการเช่า 30 ปี (Leasehold) มูลค่ากองทุนประมาณ 6 พันล้านบาท คาดว่าจะเสนอขายกองทุนในไตรมาส 4/56
สำหรับรายได้ปี 56 บริษัทคาดว่าจะเติบโต 30% มาที่ 6 พันล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทได้รับการติดต่อจากลูกค้าใหม่เข้ามาเช่าคลังสินค้า เพิ่มเป็น 1.8 แสน ตร.ม. จากเดือนก.ค. ที่อยู่ 1.6 แสน ตร.ม. ส่วนพื้นที่โรงงานมีลูกค้าใหม่เข้ามาเช่าใน ก.ค.ประมาณ 5-6 หมื่นตร.ม. และในช่วงครึ่งปีหลังยังมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าส่งมอบให้ลูกค้าไม่น้อยกว่า 1 แสนตร.ม.ทำให้คาดว่ารายได้ปีนี้จะสามารถเป็นไปตามเป้า
"แลนด์แบงก์ของเราในการขยายพื้นที่คลังสินค้าและโรงงาน ตอนนี้จะเน้นการขยายในประเทศเป็นหลัก แต่ในอนาคตข้างหน้าก็อาจจะมีการพิจารณาขยายไปแถบชายแดน ทางใต้ และ อีสาน เพื่อเป็นการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และเมื่อพื้นที่ในประเทศเต็ม ก็จะมีการพิจารณาการขยายเข้าไปแถบประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่น พม่า และ เวียดนาม แต่ตอนนี้ กำลังเงินของเราไม่ไหว ถ้าจะทำก็ต้องเพิ่มทุน" นายวีรพันธ์ กล่าว
ส่วนการทำธุรกิจ Solar Roof นั้น นายวีรพันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการเจรจากับพันธมิตร 4-5 ราย ซึ่งเป็นผู้ติดตั้ง solar roof ได้แก่ บมจ. เอสพีซีจี (SPCG) เป็นต้น โดยในส่วนของบริษัทมีพื้นที่บนหลังคาโรงงานและคลังสินค้า รวม 1.7 ล้านตร.ม.ที่สามารถติดตั้งได้ คาดว่าภายในสิ้นเดือน ส.ค.56 จะได้ข้อสรุปว่ารายใดจะเป็นผู้ติดตั้ง Solar Roof ของบริษัท โดยบริษัทคาดว่าจะมีผลตอบแทนจาก Solar Roof ที่ 15%ต่อปี