นายปิยุช กุปต้า กรรมการผู้จัดการใหญ่ TSTH เปิดเผยว่า คาดว่าไตรมาส 2/56-57 จะมีผลขาดทุนลดลงจากไตรมาส 1/56-57 เพราะภาครัฐออกมาตรการฉุกเฉินเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดจากเหล็กนำเข้าจากประเทศจีนตามที่บริษัทเรียกร้อง ซึ่งได้มีการเริ่มมาตรการแล้วตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค.56 ที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัท สามารถขายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันราคาเหล็กจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ในระดับที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังได้เตรียมแผนเพื่อลดขาดทุนไว้ 3 ข้อ คือ ดูแลให้การผลิตและจำหน่ายตอบสนองความต้องการของตลาด, ดูแลต้นทุนให้ลดลง จากที่บริษัทมุ่งเน้นที่จะลดการนำเข้าเศษเหล็กจากต่างประเทศที่ปัจจุบันนำเข้าเป็นสัดส่วน 25% โดยจะหาเศษเหล็กในประเทศให้มากขึ้น และ จะมีการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ซ่งจะส่งผลให้ในไตรมาส 2/56-57 ขาดทุนลดลง
ทั้งนี้ บริษัทยังมั่นใจว่าในปีนี้จะมียอดขายตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะมีการเติบโต 10% จากปีก่อน ตามความต้องการใช้เหล็กในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 11% ประกอบกับ ภาครัฐได้ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดของเหล็กจากจีนในส่วนของเหล็กเส้นคาร์บอนความเข้มข้นสูง ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างเรียกร้องให้ภาครัฐออกมาตรการฉุกเฉินตอบโต้การนำเข้าเหล็กเส้นคาร์บอนความเข้มข้นต่ำด้วย หากทำสำเร็จก็จะทำให้ยอดขายปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีก
สำหรับโครงการลงทุนภาครัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศจะช่วยผลักดันความต้องการใช้เหล็กในประเทศให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีก ซึ่งคาดว่าหาก โครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทเกิดขึ้นได้ ก็จะทำให้ความต้องการใช้เหล็กปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 1 ล้านตัน/ปี จากปัจจุบันที่มีความต้องการใช้อยู่ประมาณ 2.5 ล้านตัน/ปี
ส่วนการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศในปีนี้ที่คาดว่าจะชะลอลงมาที่ 3.8-4.3%นั้น บริษัทมองว่าไม่ได้เป็นผลกระทบให้การบริโภคเหล็กปรับตัวลดลงมากนัก เนื่องจากการขยายตัวของประเทศจะมาจาก 3 กลุ่มหลักคือ ภาคการเกษตร ภาคการบริการ และภาคการส่งออก ซึ่งในส่วนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหล็กมากนัก
"ถึงแม้ว่าการขยายตัวของประเทศจะปรับตัวลดลง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับความต้องการการใช้เหล็กมากนัก แต่เรามองว่าถึงแม้เศรษฐกิจจะขยายตัวลดลง แต่การก่อสร้างก็ยังต้องดำเนินต่อไป ทำให้ความต้องการใช้เหล็กก็ยังจะเติบโตได้ต่อ"นายปิยนุช กล่าว