"ยอดขายเบื้องต้นยังไม่ชัดเจนอยู่ที่จำนวนยูนิตและจำนวนคนที่จะใช้ แต่เป็นออร์เดอร์ระยะยาว 2-3 ปี เช่น ประกอบชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กฯ กล้องถ่ายรูป มาร์จิ้นอาจเป็นเลขหลักเดียวแต่ค่อนข้างแน่นอนกว่า เราจะไม่กลับไปเติบโตแบบเมื่อก่อนในชิ้นส่วนอย่างเดียวซื้อเครื่องจักรทีหนึ่ง 70-80 ล้านบาท ก็เสี่ยงและแบกไว้เยอะ จึงหันมาธุรกิจประกอบชิ้นส่วนแทน นำที่ผลิตแล้วหรือซื้อมาบางส่วนประกอบกัน"นายสืบตระกูล กล่าว
สำหรับธุรกิจหลักผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะเน้นการหาพีนธมิตรจากต่างประเทศเข้ามาร่วมงาน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่ย้ายฐานการผลิตมาในไทยที่บริษัทได้เริ่มเข้าไปพูดคุยแล้ว 1 รายตั้งแต่เดือน พ.ค.56 ที่ผ่านมา โดยบริษัทจะรับผิดชอบในด้านบุคคล แต่จะใช้เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ขณะที่ทางพันธมิตรญี่ปุ่นก็มีลูกค้าอยู่แล้ว เชื่อว่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง คาดว่าจะสรุปการเจรจาได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
นายสืบตระกูล กล่าวว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์รูฟ โดยคาดว่าจะเริ่มลงทุนติดตั้งโซล่ารูฟบนหลังคาโรงงานที่มีพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตรได้ก่อน ซึ่งขณะนี้เจรจากับซัพพลายเออร์ 2 รายคือ บมจ.โซลาร์ตรอน(SOLAR) และบมจ.เอสพีซีจี(SPCG)ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตติดตั้ง เพื่อขายไฟฟ้าให้กับภาครัฐเป็นสัญญาขายไฟฟ้า 25 ปี คาดว่าจะรายได้เข้ามาตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นไป ผลตอบแทนการลงทุนราว 10%
ขณะนี้บริษัทได้ยื่นเอกสารต่างๆเพื่อให้ขอใบอนุญาต ขณะที่ผู้ประกอบการ 2 รายอยู่ระหว่างจัดทำใบเสนอราคาให้กับบริษัทคาดว่าจะสรุปในไตรมาส 3/56 หรือไตรมาส 4/56 แม้ราคายังไม่นิ่ง แต่คาดว่างบลงทุนอาจจะอยู่ที่ประมาณ 20-30 ล้านบาท ติดได้ 250 กิโลวัตต์
"เป็นการลงทุนซื้อระบบเข้ามาติดตั้ง ยังไม่ได้ดูสัดส่วนรายได้ แต่ในส่วนของกำไรโอกาสจะมากกว่าธุรกิจปกติ เพราะผลตอบแทนแต่ละปี 10% ไม่ต้องเหนื่อยไปดูเรื่องคนเรื่องตลาด ถ้าคุยเสร็จเร็วติดตั้งเสร็จเร็วภายในไตรมาส 4/56 และน่าจะเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาส 1/57 รายได้ไม่ถือว่าเยอะมากเพราะค่า adder จะน้อยกว่าที่ทำโซล่าฟาร์ม แต่อย่างน้อยได้ผลตอบแทนการลงทุน 10%ได้แน่ๆ อยู่แล้ว ในส่วนของโซล่ารูฟ"นายสืบตระกูล กล่าว
สำหรับโครงการโซล่าฟาร์มอยู่ระหว่างพูดคุยอาจจะจบยากเพราะเป็นโครงการใหญ่
นายสืบตระกูล ยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทคาดรายได้ไตรมาส 3/56 จะใกล้เคียงไตรมาส 2/56 แม้จะเป็นช่วงไฮซีซั่น เพราะครึ่งหลังของปีนี้เศรษฐกิจโดยรวมและธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไม่ค่อยดีนัก แต่บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายทั้งปีตามเดิม
อนึ่ง SPPT ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 600 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำได้ 326 ล้านบาท
ส่วนกำไรสุทธิในปี 56 คงเทียบไม่ได้กับปี 55 ที่มีเงินประกันชดเชยน้ำท่วมเข้ามากว่า 200 ล้านบาท แต่กำไรจากการดำเนินงานปกติดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 1 และโดยปกติตามฤดูกาลธุรกิจ ไตรมาส 3 จะดีที่สุด จากนั้นไตรมาส 4 จะชะลอตัวเป็นซีซั่น อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าปีนี้ยังมีกำไร หลังจากครึ่งแรกมีกำไรแล้ว 9.55 ล้านบาท