(เพิ่มเติม) PRANDA คาดกำไรสุทธิปีนี้ลดลงจาก 449.4 ลบ.ในปีก่อน จากต้นทุนเพิ่ม-FX

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 22, 2013 15:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. แพรนด้า จิวเวลรี่ (PRANDA) คาดดกำไรสุทธิปีนี้ลดลงจาก 449.4 ล้านบาทในปีก่อน เนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้นและได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยคาดว่าจะมีอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ 9% ลดลงจาก 10.62% ในปีก่อน

ขณะที่คาดว่ายอดขายในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตราว 5-6% จากในช่วงครึ่งปีแรกที่ยอดขายลดลงราว 6% แต่ทั้งปีน่าจะทำได้ใกล้เคียงปีก่อนที่มียอดขาย 4.23 พันล้านบาท โดยมีคำสั่งซื้อ(ออร์เดอร์)เข้ามามากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

สำหรับการขยายตลาดไปต่างประเทศ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการขยายไปยังรัสเซีย เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ

นางสุนันทา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการการเงินกลุ่ม PRANDA เปิดเผยว่า กำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้จะลดลงเล็กน้อยจากปี 55 ที่มีกำไรสุทธิ 449.45 ล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไรสุทธิจะลดลงมาอยู่ที่ 9% จากปีก่อนอยู่ที่ 10.64% เพราะในครึ่งปีแรกบริษัทได้รับผลกระทบจากต้นทุนค่าวัตถุดิบและต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับ ได้รับผลกระทบของอัตราการแลกเปลี่ยนที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามาก ส่งผลให้บริษัทขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรก 2.17 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทมองแนวโน้มในครึ่งปีหลังจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากปัจจัยหนุนแนวโน้มการส่งออกเครื่องประดับช่วงครึ่งปีหลังจะเข้าสู่ฤดูกาลขาย หรือไฮซีซั่น ประกอบกับ สหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่นั้น เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแล้ว ทำให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงตลาดเอเชียยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถเพิ่มยอดขายขึ้นประมาณ 5-6% โดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมั่นใจว่าจะสามารถรักษาระดับรายได้ในปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้ 4.23 พันล้านบาท

“6 เดือนหลังก็เป็นฤดูกาลซื้อ มีออเดอร์เข้ามาค่อนข้างมากแล้วตอนนี้ ตลาดสหรัฐฯก็ฟื้นตัวขึ้น ยุโรปก็ดีเป็นบางประเทศ อย่างเช่นเยอรมันก็มีออเดอร์เข้ามาเยอะ ในเอเชียออเดอร์ก็ยังอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย และค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าลงในครึ่งปีหลังก็ส่งผลบวกกับเรา โดยเงินบาทเริ่มอ่อนลงมาที่ 31.80 บาทต่อดอลลาร์ จากเดิมที่ 28 บาทต่อดอลลาร์ เพราะเศรษฐกิจบ้านเราชะลอตัว การเมืองมีปัญหา ต่างชาติโยกย้ายเงิน และ QE กำลังจะหมด บาทอ่อนส่งผลดีกับเราในครึ่งปีหลัง โดยเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าทำให้รายได้เราลดลงจากอัตราแลกเปลี่ยน 5-6%"นางสุนันทา กล่าว

ส่วนการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มยุโรปนั้น นางสุนันทา กล่าวว่า เศรษฐกิจยุโรปคงต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวอีกระยะหนึ่ง ดังนั้น บริษัทจึงหันมาให้ความสำคัญในการทำตลาดในเวียดนามและอินโดนีเซีย โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนสร้างความเข้มแข็งและขยายธุรกิจค้าปลีกในสองประเทศดังกล่าว เพื่อรองรับการรวมกลุ่มประชาคมอาเซียน(AEC) ในปี 58

สำหรับจุดขาย WHOLE SALE ของบริษัทขณะนี้มี 4,600 จุดในเยอรมัน ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย และมาเลเซีย ส่วนของจุดขาย RETAIL มีทั้งหมด 140 จุด ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย 80 จุด อินโดนีเซีย 60 จุด และที่เหลือกระจายอยู่ในฟิลิปปินส์ ดูไบ โอมานห์ และเวียดนาม โดยบริษัทจะให้ความสำคัญกับตลาดอินโดนีเซียมากขึ้นตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นไป โดยจะเปิดจุดขายเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 10 จุดขายต่อปี และตลาดอินเดียจะเน้นการเปิดเฟรนไชส์ WHOLE SALE มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 1,800 จุด

“การพิจารณาการขยายตลาดใหม่ๆของบริษัทก็มีการมองไปที่ประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพแต่เราต้องมีความมั่นใจและระวังในเรื่องการเงิน ก็คือขายของไปแล้วต้องได้รับเงินกลับมา อยากให้ระบบต่างๆชัดเจนก่อน “นางสุนันทา กล่าว

ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของบริษัท 80% มาจากส่งออก และ 20% เป็นรายได้จากการขายในประเทศ ขณะที่แบ่งสัดส่วนรายได้ตามภูมิภาคเป็น 35% ในเอเชีย 35% สหรัฐฯ และ 30% ในยุโรป

นางสุนันทา กล่าวอีกว่า บริษัทได้ตั้งงบลงทุนในปีนี้ 430 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนสำหรับสร้างอาคารใหม่ 200 ล้านบาท และซื้ออุปกรณ์ใหม่ทดแทนอุปกรณ์เก่า 80 ล้านบาท และอีก 150 ล้านบาท ใช้สำหรับเปิดจุดขายเพิ่มในอินโดนีเซียและอินเดีย โดยขณะนี้บริษัทได้ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 80-90%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ