SEAOIL ประกอบธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น และธุรกิจให้บริการในการจัดหาอาหาร วัตถุดิบ และให้บริการอื่นๆ แก่ที่พักอาศัยในทะเล เรือเดินทะเลและแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในทะเล (Supply Management)
น.ส.พัชพร สรรคบุรานุรักษ์ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย หุ้นสามัญ SEAOIL เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของหุ้น SEAOIL ที่ 3.45 บาท ซึ่งบริษัทฯ จะกระจายหุ้นไอพีโอ จำนวน 70,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท สำหรับสัดส่วนกระจายหุ้น จำนวน 7,700,000 หุ้น กระจายให้แก่กรรมการและผู้บริหารของบริษัทและบริษัทในกลุ่มของบริษัทแม่ อีก 22,300,000 หุ้น เสนอขายให้แก่ผู้มีอุปการคุณของบริษัท และส่วนที่เหลือทั้งหมดเสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ โดยหุ้นทั้งหมดเสนอขายที่ราคาเดียวกันคือราคาไอพีโอ
ทั้งนี้ ได้กำหนดเปิดให้นักลงทุนและประชาชนที่สนใจจองซื้อได้ในวันที่ 26-29 ส.ค. นี้ โดยมีบล. เคจีไอ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย และมีบล. โนมูระ พัฒนสิน และบล. ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดยการระดมทุนในครั้งนี้คาดว่าจะได้เม็ดเงินประมาณ 241.50 ล้านบาท
สำหรับ เม็ดเงินที่ได้จากการขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำมาใช้เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และรองรับการขยายตัวทางธุรกิจต่อไปในอนาคตเป็นหลัก ซึ่งทางซีออยล์ มีแผนที่จะขยายขอบเขตการให้บริการกว้างออกไปให้ครอบคลุมน่านน้ำทั้งในและนอกประเทศที่ใกล้เคียง
“ราคาหุ้น SEAOIL ที่ 3.45 บาทนั้น ถือว่าเป็นราคาที่ส่วนลดในระดับที่สูงกว่าร้อยละ 44 โดยคิด จากกำไรต่อหุ้น 4 ไตรมาสที่ผ่านมา 0.44 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น P/E เพียง 7.93 เท่า เปรียบเทียบกับบริษัทจดทะเบียนในหมวดอุตสาหกรรมพลังงานที่มีธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันได้แก่ PTG, SUSCO และ BAFS ซึ่งเทรดที่ P/E เฉลี่ยประมาณ 14.06 เท่า ในขณะที่ผลประกอบการที่ผ่านมาเติบโตโดดเด่นโดยมีกำไรเติบโตกว่าร้อยละ 50 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้กำไรเติบโตต่อเนื่องกว่าร้อยละ 56 เช่นกัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงมั่นใจว่าหุ้น SEAOIL จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างมาก เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีมีอัตราการเติบโตสูง " น.ส.พัชพร กล่าว
ด้านนางศรัณยา กระแสเศียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ราคาหุ้นของ SEAOIL เป็นราคาที่เหมาะสม และมีส่วนลดให้กับนักลงทุนในระดับที่ดี และเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของบริษัทฯ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นได้ว่า ซีออยล์มีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ และมีศักยภาพการเติบโตสูง ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้เติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2553 — 2555 อยู่ที่ 31.50% ขณะที่กำไรสุทธิเติบโตอย่างก้าวกระโดดเฉลี่ย 50.86% ต่อปี และมีอัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้ง เมื่อสิ้นไตรมาส 2 ปี 2556 ROE ของบริษัทฯ สูงถึง 40.51% ประกอบกับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2556 บริษัทฯ มีรายได้ 1,322.40 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.21% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันเมื่อปีก่อน และมีกำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรกของปี 2556 อยู่ที่ 41.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 56.13% และบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นสุดไตรมาส 2 ปี 2556 บริษัทฯ มี D/E อยู่ที่ 1.00 เท่า ลดลงจาก 1.57 เท่า ในปี 2553 จึงคาดว่าหุ้น SEAOIL จะเป็นหุ้นที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่ง
น.ส.นีรชา ปานบุญห้อม กรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ SEAOIL กล่าวว่า ราคาหุ้นของบริษัทฯ ถือว่าเป็นราคาที่จูงในมีส่วนลดเอาใจผู้ลงทุนใหม่ในระดับสูง เมื่อพิจารณา พื้นฐานของบริษัทฯที่มีศักยภาพการเติบโตโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ประกอบกับโอกาสในการเพิ่มยอดขายจากกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้ารายใหม่ตามแผนงานของบริษัทฯ ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากนักลงทุนในการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้อย่างล้นหลาม
"หุ้น IPO ของบริษัทที่จะเข้าซื้อขายในตลาด mai ในวันที่ 5 ก.ย.นี้ ไม่หวั่นภาวะตลาดหุ้นในช่วงนี้ที่มีความผันผวนสูง เนื่องจากมั่นใจในพื้นฐานของบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตเด่น และมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยหลังจากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ขยายขอบเขตการให้บริการจำหน่ายน้ำมันให้ครอบคลุมน่านน้ำทั้งไทยและประเทศใกล้เคียง" น.ส.นีรชา กล่าว
สำหรับในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนหน้า และจะรักษาระดับการเติบโตของรายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปีสำหรับการเติบโตในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีลูกค้าต่างประเทศจากกัมพูชาเพียงรายเดียว โดยบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาและเจรจากับลูกค้าในประเทศลาว เวียดนาม พม่า
“เรามองว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้มีโรงกลั่นน้ำมันไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องหาซื้อน้ำมันจากประเทศผู้มีศักยภาพในการผลิตสูง อย่างเช่น ไทย โดยเรามีพันธมิตรที่เป็นซัพพลายรายใหญ่หลายราย เช่น กลุ่มปตท. บางจาก เชฟรอน และเชลล์ ขณะที่ยังมีซัพพลายจากต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์และมาเลเซียด้วย ซึ่งทำให้บริษัทมีความคล่องตัวสูงในการหาสินค้าที่ถูกที่สุด เพื่อนำไปขายต่อให้กับลูกค้าเป็นส่วนช่วยสนับสนุนให้ต้นทุนการขายของบริษัทฯไม่สูงมากด้วย”นางสาวนีรชา กล่าว
ส่วนปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว น.ส.นีรชา กล่าวว่า ไม่มีผลกระทบต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญมากนัก เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยที่มีความจำเป็นมีความต้องการ จึงไม่ถดถอยตามภาวะเศรษฐกิจ แม้จะมีปัญหาเรื่องราคาบ้าง แต่ปริมาณความต้องการก็ยังสูงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้บริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการเลือกลูกค้าใหม่ โดยจะเน้นลูกค้าที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มอัตรากำไรสุทธิให้มากขึ้น โดยปัจจุบันมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3% และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 5-6% ซึ่งเชื่อว่าหากมีลูกค้าใหม่ที่มีมาร์จิ้นที่ดีก็จะเป็นส่วนช่วยเพิ่มอัตรากำไรของบริษัท
ปัจจุบันสัดส่วนของลูกค้าของ SEAOIL 30% เป็นลูกค้าจากแท่นขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีมาร์จิ้นสูง 24% เป็นลูกค้าเรือเดินน้ำมันขนาดใหญ่ และ 15% เป็นลูกค้าเรือทั่วไป และที่เหลือเป็นลูกค้าจากต่างประเทศ