ทั้งนี้ จากการที่บริษัทฯปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจหันมาจับธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศที่สร้างผลตอบแทนในระยะยาว คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะได้ภายในปี 56 ซึ่งบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากพลังงานทดแทน 50% เพื่อผลักดันให้ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยบริษัทฯจะลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งในรูปแบบซื้อธุรกิจหรือร่วมทุน เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ด้านนายภูษณ ปรีย์มาโนช ประธานกรรมการ IEC กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าปี 57 จะมีรายได้ 903 ล้านบาท และมี EBITDA อยู่ที่ 475 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนของการลงทุน 12-15% และ D/E Ratio จะอยู่ที่ 0.13 เท่า หลังจากรับรู้รายได้จากการลงทุนโครงการไฟฟ้าต่างๆ และรายได้จากธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นธุรกิจด้านเทคโนโลยี เช่น การออกแบบสร้างแผงวงจรเพิ่มประสิทธิภาพการรับพลังงานแสงอาทิตย์จาก PV Cell พลังงานทางเลือก และขยายสัมปทานธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม ส่วนของธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัทเตรียมประมูลงานจากโครงการของรัฐวิสาหกิจและภาครัฐ มูลค่ารวมประมาณ 500-1,000 ล้านบาท
นายภูษณ กล่าวถึงแผนการเพิ่มทุนของบริษัทฯที่จะขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 ก.ย.นี้ เพื่อเสนอขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิมและนักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP) เชื่อว่าจะสามารถดึงความมั่นใจของนักลงทุนต่อแผนงานในอนาคตของบริษัทได้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนราว 2,100 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการขยายกิจการในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีการดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว ได้แก่ โครงการแม่ระมาด ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.แม่ระมาด จ.ตาก ขนาด 2.25 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าพร้อมรับรู้รายได้ในเดือน พ.ย.นี้ และโครงการแม่มาลัย ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ขนาด 2 เมกกะวัตต์ คาดจะจ่ายไฟฟ้าและรับรู้รายได้ในเดือนธ.ค.นี้ ในวงเงินลงทุนรวมประมาณ 400 ล้านบาท
นอกจากนั้น จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการโครงการธุรกิจด้าน ICT ในวงเงินประมาณ 300 ล้านบาท, ใช้รองรับโครงการลงทุนด้านธุรกิจ ICT วงเงินประมาณ 100 ล้านบาท, ใช้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีกับสถาบันการเงินในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ โครงการลำพูน 1 และลำพูน 2 ที่ตั้งอยู่ใน อ.แม่ทา จ.ลำพูน ในวงเงินประมาณ 200 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวมีการติดตั้งเรียบร้อยแล้ว และจะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ในเดือนก.ย.นี้
อีกทั้งเพื่อใช้รองรับโครงการลงทุนที่มีผลตอบแทนระยะยาว โครงการลงทุนในพลังงานทางเลือกอื่น ๆ และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทในวงเงินรวมประมาณ 1,100 ล้านบาท
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าจากขยะที่บริษัทร่วมทุนกับบมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ขนาด 6.7 เมกกะวัตต์ จะสามารถจ่ายไฟฟ้าและรับรู้รายได้ในเดือน ม.ค.57
นายภูษณ กล่าวอีกว่า ส่วนแผนการลงทุนในอนาคตบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นงานของภาครัฐและภาคเอกชน ขณะเดียวกันบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาสัญญาร่วมทุนกับเจ้าของ บมจ.ซีทีเอช(CTH)เพื่อดำเนินธุรกิจ Mobile TV อีกด้วย