สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB155A, LB176A และ LB21DA (รุ่นอายุ 1.8 ปี, 3.8 ปี และ 8.3 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 9,138 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL174B) มูลค่า 1,525.2 ล้านบาท
2. หุ้นกู้ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC147A) มูลค่า 102.3 ล้านบาท
3. หุ้นกู้บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC174A) มูลค่า 90.7 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 1,718.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83.1% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 16,924 ล้านบาท
2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 5,261 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดขายสุทธิ เท่ากับ -1,070 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.51% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 0.03% และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.68% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 0.05%
Yield Curve ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกช่วงอายุตราสาร โดยเฉพาะพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้น 10 bps. จากแรงกดดันด้านกระแสเงินทุนไหลออก(Fund Flow) ของนักลงทุนต่างชาติ และบางส่วนเริ่มกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์การเมืองในตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลต่อ Global Sentiment ในเชิงลบ สำหรับการประมูลพันธบัตรระยะสั้นของ ธปท. ในวันนี้ ไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเท่าที่ควร โดยทุกรุ่นจำหน่ายได้ไม่เต็มจำนวน ด้านนักลงทุนต่างชาติยังคงมีแรงขายในทุกช่วงอายุตราสาร ยอดขายสุทธิ (NET SELL) เท่ากับ 1,070 ล้านบาท