"ส่งผลให้ยอดขายรวมจากเดิมวางไว้ 10% เหลือโต 2-5% จากครึ่งแรกยอดขายเกินเป้าสูงกว่าที่คาด 3% เพราะยอดผลิตรถยนต์ปิดที่ 1.3 ล้านคันเศษ ครึ่งหลังน่าจะ 1.2-1.25 ล้านคัน ทำให้ครึ่งหลังวอลุ่มจะต่ำกว่าครึ่งแรก"น.ส.นภัสร กล่าว
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 17% ลดลงเล็กน้อยตามยอดขาย จากเฉลี่ยที่ 17-18% เพราะยอดขายจะเป็นตัวผลักดันกำไร แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากำไรสุทธิในปีนี้ไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไร 815 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปี 55 รายได้รวมอยู่ที่ 9,600 ล้านบาท ครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 4,915 ล้านบาท และมีกำไร 386 ล้านบาท
บริษัทตั้งงบลงทุนรวม 2 ปี 56-57)ไว้ที่ 1.6 พันล้านบาท คาดว่าจะใช้ปีนี้ 1.1 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในปี 57 โดยงบลงทุนในปีนี้เกือบทั้งหมดใช้ในการขยายไลน์การผลิตใหม่ คือ เพลาข้าง(Axle Shaft)สำหรับรถบรรทุกขนาดมากกว่า 1 ตัน จากเดิมที่ผลิตเฉพาะรถบรรทุกน้อยกว่า 1 ตัน คาดเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ปี 57
น.ส.นภัสร กล่าวว่า สายการผลิตใม่จะค่อยๆ เพิ่มยอดขายให้กับบริษัท เพราะตลาดส่วนใหญ่ของรถยนต์ในประเทศไทยยังเป็นรถกระบะและรถบรรทุกเป็นหลัก 60% แต่ในอุตสาหกรรมมีสัดส่วนเป็นรถบรรทุกขนาดมากกว่า 1 ตันอยู่ที่ 2-5% บริษัทคาดว่าสายการผลิตใหม่จะทำยอดขายเฉลี่ยที่ 250-300 ล้านบาท/ปี จะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาเข้าตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นไป โดยเครื่องจักรจะเข้ามาพ.ย.ที่จะเริ่มผลิต กำลังการผลิตกว่า 2 แสนชิ้น/ปี
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะมียอดขายจากการผลิตชิ้นส่วนรถแทรกเตอร์ให้กับคูโบต้าเข้ามาช่วย โดยสัดส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากปีก่อนอยู่ที่ 9% กำลังการผลิตในปีนี้อยู่ที่ 64,000 คัน สูงกว่าปี 55 ที่ผลิต 50,000 กว่าคัน และในปี 57 น่าจะใกล้ๆ 70,000 คัน แต่คูโบต้ายังจะมีความเสี่ยงในแง่ปริมาณคำสั่งซื้อที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งและราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป
"ไตรมาส 4 ยังจับตามองเดือนพ.ย.-ธ.ค.เพราะส่วนใหญ่ลูกค้ายังไม่คอนเฟิร์มวอลุ่ม ถึงแม้จะมีวอลุ่มถึง ธ.ค.แล้วแต่ยังไม่คอนเฟิร์ม ยังเหวี่ยงอยู่ ธ.ค.อาจจะมอเตอร์โชว์ แต่ก็ต้องดู sentiment ของตลาด ภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ความเชื่อมั่นลงไปมาก คอนซูเมอร์เล็กๆกำลังซื้อยังหด แต่ถึงแม้กำลังซื้อในประเทศหดจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับเรา แต่จะส่งผลกับ Car maker จะส่งออร์เดอร์ให้เรามากน้อยแค่ไหนอยู่ตรงนี้"น.ส.นภัสร กล่าว
ส่วนการอ่อนค่าของเงินบาทไม่ได้มีผลกระทบต่อยอดขายมากนัก เพราะมีสีดส่วนส่งออกโดยตรงแค่ 3% ส่วนการนำเข้าวัตถุดิบสามารถส่งผ่านต้นทุนไปที่ลูกค้าได้ คงมีเพียงการนำเข้าเครื่องจักรที่จะเสียประโยชน์โดยตรง แต่บริษัทก็มีการทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้แล้วในสัดส่วน 50% ของมูลค่าเครื่องจักร ส่วนที่เหลืออีก 50% จะใช้วิธีบริหารจัดการเอง โดยเครื่องจักรใหม่จะทยอยเข้ามาตั้งแต่เดือน พ.ย.56 ประมาณ 70%
"ครึ่งปีหลังคงไม่มีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนไตรมาส 2/56 เพราะไตรมาส 2 โดนหนักจากที่ไปซื้อฟอร์เวิร์ดทั้งโครงการทั้งหมดของปีที่แล้ว เพราะบริษัทมีซื้อเครื่องจักร แต่เครื่องจักรนำเข้ามาช่วงสกุลเงินเยนอ่อนค่ามาก เป็นผลทางบัญชี"น.ส.นภัสร กล่าว