ดังนั้น บริษัทจึงวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเป็นทั้งหมด 16 โรง ภายในปี 62 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรวมของกลุ่มเป็น 2 พันเมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 7 หมื่นล้านบาท บริษัทจึงตัดสินใจระดมทุนส่วนหนึ่งผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำเงินมาใช้สร้างโรงไฟฟ้าตามแผนธุรกิจดังกล่าว ซึ่งนอกจากเป็นการลงทุนที่ช่วยพัฒนาประเทศแล้ว นักลงทุนยังได้ผลตอบแทนจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของการใช้ไฟฟ้าไปพร้อมกัน ปัจจุบัน อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ มีโรงงานไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว 5 โรง ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี 3 โรง อมตะซิตี้ระยอง 1 โรง และที่ประเทศเวียดนาม 1 โรง มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 613 เมกะวัตต์ โดยจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ มากกว่า 200 ราย รวมถึงบริษัทผลิตไฟฟ้าที่ประเทศเวียดนาม ส่วนอีก 1 โรงที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง จะสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ ทำให้ภายในสิ้นปีนี้ อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จะมีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการจำนวนทั้งสิ้น 6 โรง มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 733 เมกะวัตต์ นางปรียานาถ กล่าวว่า กองทุนคาดว่าจะให้ผลตอบแทนในปีแรกประมาณ 15% อย่างไรก็ตามคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผล 7% ต่อปี และบริษัทยังมองหาโอกาสขยายขนาดของกองทุนในอนาคตด้วย
"เรามองว่าก็น่าจะเป็นไปได้ที่เราอาจจะมีการขยายขนาดของกองทุน แต่เราก็ต้องมีการพูดคุย ปรึกษากับผู้ถือหุ้นจากญี่ปุ่นก่อน ถึงจะบอกได้ว่าจะเป็นยังต่อไป แต่ปัจจุบันเราก็ต้องรอดูผลตอบรับของกองทุนนี้ก่อนว่าจะเป็นอย่างไร"นางปรียนาถ กล่าว
นายจงรัก รัตนเพียร ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า กองทุน ABPIF ถือเป็นทางเลือกในการลงทุนที่ดีกับสภาวะตลาดในปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว และต้องการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ โดยนักลงทุนจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทน 2 ส่วน คือ เงินปันผลและเงินลงทุนที่ทยอยจ่ายด้วยการลดทุน โดยผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับการยกเว้นภาษี ณ ที่จ่าย จากเงินปันผล เป็นเวลา 10 ปี